Auschwitz Birkenau Poland – โศกนาฏกรรมแสนเศร้า ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ทุกคนคงเคยได้ยินว่า

“มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกใช้ชีวิตที่ดีได้”

แต่บางที… บางเวลา.. สำหรับบางคน… มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป…

เรามาโปแลนด์ครั้งนี้ จุดหมายปลายทางของเราไม่ได้สวยงามเหมือนที่อื่นๆ ที่เราเคยไปมา ไม่ได้มีสวนดอกไม้ ไม่ได้มีวิวสวยๆ ให้ถ่ายรูป ไม่ได้มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นอะไรแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเพียงแค่หมู่ตึกโทรมๆ และซากปรักหักพัง ที่ตั้งอยู่บนซากศพของมนุษย์นับล้าน เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อให้เรารำลึกว่า บนโลกนี้ ยังเคยมีความโหดร้าย ยังเคยมีการทารุนกรรม และยังเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้แล้ว ยังไม่มีโอกาสเลือกใช้ชีวิตเองอีก ที่นี่.. คือ… ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หรือ Auschwitz Birkenau, German Nazi Concentration and Extermination Camp

ค่ายกัก Auschwitz แห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1940 ตั้งอยู่ใกล้ๆ เมือง Krakow ประเทศ Poland สำหรับคนที่คุ้ยเคยกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองนั้น น่าจะเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง เพราะที่นี่ เป็นค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาค่ายกักกันของนาซีที่ประจายตัวกันอยู่ทั่วโรป เหตุผลที่เลือกที่นี่ เป็นเพราะตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางที่สามารถขนส่งคนที่เป็นเชลยจากพื้นที่ที่นาซียึดครองทั่วยุโรป มาทางรถไฟได้ง่ายที่สุด

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวถือได้ว่าเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ถูกส่งมายังค่ายกักกันแห่งนี้ ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก คนแก่ ผู้ชายและผู้หญิง ทั่วทั้งยุโรป จะถูกทหารจับตัวขึ้นรถไฟ ทันทีที่คนเหล่านี้ลงรถไฟมา ทุกคนจะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยแพทย์ทหารคนนึง ซึ่งจะเป็นคนชี้ชะตาว่า คนนี้จะอยู่ หรือจะตาย โดยจะดูจากสภาพร่างกายว่า ทำงานได้มั้ย แก่เกินไปหรือเด็กเกินไปหรือเปล่า? ผู้ที่ไม่แข็งแรง เด็ก คนแก่ ก็จะถูกชี้ให้เดินไปทางหนึ่ง ซึ่งปลายทางของคนเหล่านี้ คือ gas chamber หรือห้องรมควัน สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ คนเหล่านี้ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า จะเป็นหนทางแห่งความตาย

เตาเผาศพหลังจากรมควันแล้ว

ไกด์ที่นำทางเราเล่าให้ฟังว่า ทหารนาซีจะบอกแค่ว่า กำลังจะพาไปโรงอาบน้ำ ชำระร่างกายฆ่าเชื้อโรค หลังจากนั้นจะมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ให้ใส่ จะมีซุปร้อนๆ ให้ดื่ม และจะได้ทำงานดีๆ จากนั้นจะให้เชลยทิ้งทั้งกระเป๋า สิ่งของมีค่า สัมภาระเสื้อผ้า รองเท้า ก่อนที่จะเดินตัวเปล่าหน้าเข้าสู่ “โรงอาบน้ำ” ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือ gas chamber แก๊สชนิดนี้คือ Zyklon B อ่านว่า ซือโคลน เบ เป็นภาษาเยอรมัน มีไซยาไนด์เป็นส่วนประกอบหรือก็คือยาฆ่าแมลงดีๆ นี่เอง หลังจากรมควันจนตายหมดแล้ว ข้างๆ กันก็คือเตาเผาศพ โดยวันหนึ่งๆ จะมีการเผาศพคนไม่ตำกว่าวันละ 5,000 ศพ บางวัน ศพต้องเผามีจำนวนถึงหมื่น ทำให้เตาเผาศพแบบเก่าไม่เพียงพอ ก็มีการสร้างเตาเผาศพขนาดใหญ่ขึ้นไปอีก เตาเผาใหม่นี้ถูกออกแบบมาใช้ไขมันจากร่างผู้ตายเป็นเชื้อเพลิงเตาเผาไปด้วยในเวลาเดียวกัน ถ้าจะกล่าวว่า ที่นี่เป็นโรงงานฆ่ามนุษย์ก็น่าจะไม่ถือว่าเกินไปจริงๆ

ส่วนผู้ชายหรือผู้หญิงที่ดูแข็งแรง สามารถทำงานได้ แพทย์ทหารคนนั้น ก็จะชี้ให้เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของทางรถไฟ และถูกตีตราด้วยเครื่องหมายพิเศษและรอยสัก ก่อนจะย่างก้าวเข้าสู่แคมป์กักกันที่ล้อมรอบไปด้วยรั้วลวดหนาม 2 ชั้น คนเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้แรงงานเยี่ยงทาส ทุกเช้าตรู่หลังตื่นนอน จะได้ดื่มแค่น้ำเปล่าจืดๆ จากนั้นจะเดินผ่านประตูที่เขียนว่า “Arbeit macht frei” เป็นภาษาเยอรมัน แปลได้ว่า “Work sets you free” ซึ่งเป็นคำหลอกลวง (ถ้าสังเกตดีๆ ตัว B ที่เขียนอยู่ในคำว่า Arbeit จะถูกเขียนเป็นตัว B กลับหัว) เพราะนอกจากจะไม่ได้เป็นอิสระแล้ว ยังต้องทำงานแรงงานหนัก หามรุ่งหามค่ำมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน ข้าวปลาอาหารไม่เพียงพอ บางคนหิวจนต้องกินนิ้วตัวเอง เสื้อผ้าที่ใส่ไม่มีการซัก ใส่จนเป็นสีดำทั้งตัวก็ไม่มีให้เปลี่ยน สถานที่นอนไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทั้งหมอน ที่นอน หรือผ้าห่ม บางคนโชคดีหน่อยคือได้นอนบนแคร่ไม้ บางคนต้องนอนบนพื้นหิน แค่จินตนาการว่า อากาศในฤดูหนาวของโปแลนด์จะหนาวขนาดไหน แล้วต้องมานอนบนพื้นหินเย็นๆ เสื้อคลุมลายเส้นสีฟ้า-เทาที่สวมติดกายไม่ได้ปกป้องพวกเขาจากลมที่เยือกหนาวได้ หลายคนมีแค่รองเท้าไม้สวมเท้าที่ห่อหุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แทบไม่มีใครได้สวมถุงเท้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ คนส่วนมากหลังจากเข้าแคมป์นี้มา ไม่กี่อาทิตย์ หรือไม่กี่เดือนก็จะต้องจบชีวิตลงด้วยความรวดเร็ว

ใครที่พยายามหลบหนี หรือขัดขืน จะถูกสังหารโดยการยิงเป้าอีกด้วย อีกกลุ่มคนนึงที่น่าสงสารไม่แพ้กัน คือคนที่ถูกนำร่างกายมาทดลองทางแพทย์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ผู้ที่มีชีวิตรอดจากค่ายแห่งนี้เล่าว่า ในตอนนั้น มีโครงกระดูกอยู่ทุกหนทุกแห่ง ผู้คนที่นี่ นั่งและนอนท่ามกลางคนตาย

ภายในแคมป์ มีห้องจัดแสดงทั้งเสื้อผ้ายูนิฟอร์มตัวอย่างที่คนงานใส่ รวมถึงจำนวนรองเท้าที่มากเท่าภูเขาเลากา แน่นอนว่าเจ้าของรองเท้าแต่ละคู่นั้น ต้องจบชีวิตอย่างอนาถในสถานที่แห่งนี้ อีกห้องหนึ่งที่น่าตกใจและน่าสลดคือ ห้องที่เก็บผม ซึ่งเป็นกระจุกผมที่ถูกโกนออกมาจากคนที่ถูกฆ่าตายแล้วก่อนเข้าเตาเผา ด้วยเหตุที่ว่าผมเหล่านี้สามารถนำไปขายได้ แล้วปริมาณที่จัดแสดงนั้นคือ อยู่ในห้องขนาดใหญ่ และปริมาณสูงท่วมหัว เห็นแล้วก็บอกได้คำเดียวว่า ทั้งสลดทั้งตกใจ นึกไม่ออกว่าจิตใจทำด้วยอะไร ถึงได้กล้าฆ่าคนได้เยอะขนาดนี้

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1945 ค่ายนี้ได้ปิดตัวลง โดยกองทัพโซเวียต พร้อมการปลดปล่อยเชลยนาซีให้เป็นอิสระ และในเวลาต่อมา เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เสียชีวิต โปแลนด์ก็เปลี่ยนค่าย Auschwitz แห่งนี้ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ และกำหนดให้วันที่ 27 มกราคม เป็นวันรำลึกฮอโลคอสต์ระหว่างประเทศ (International Holocaust Remembrance Day)

โดยรวม ที่ค่ายแห่งนี้ มีคนเสียชีวิตมากถึง 1.3 ล้านกว่าคน ประมาณ 90% ของผู้ที่เสียชีวิตราว 1.1 ล้านคนเป็นชาวยิว นอกจากนั้นประมาณ 2-3 แสนก็เป็นพวกชาวยิปซี คนรักร่วมเพศ ชาวโรมา เชลยสงครามชาวโซเวียต และนี่…คือสิ่งที่เรียกว่า Holocaust หรือโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์น้ำมือนาซีนั่นเอง

เห็นแบบนี้แล้ว ก็ต้องขอบคุณชะตาชีวิต ที่ให้เราเกิดมาในช่วงเวลาที่ไม่ได้ลำบากจนเกินไป ขอบคุณพ่อคุณแม่ คุณยายคุณป้าคุณน้าคุณอา ที่ให้โอกาสเราได้ “เดิน” ในแบบที่เราเลือก…

ก็เหลือแต่เราที่จะเลือก “เดิน” อย่างไรให้มีสติ

“เดิน” อย่างไรให้มีความสุข

“เดิน” อย่างไรให้คุ้มค่ากับการที่เราได้มีสิทธิเลือกเส้นทางของตัวเอง…

Amy Yu

สะใภ้จีนที่รักการท่องเที่ยวและการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าไม่ได้ทำงาน ซึ่งจริงๆแล้ว "ผิดถนัดค่ะ" ยังทำงานประจำอยู่นะคะ เป็นสาววิศวะไอที มีการงานทำค่ะ ประเทศที่ไปแล้วชอบมากเป็นอันดับหนึ่งคือ Iceland ส่วนประเทศที่ไปแล้วไปอีกเพราะสนุกดีคือ อินเดีย ประเทศที่ยังไม่ได้ไปแต่อยากไปมว๊ากกก คือ เคนย่า (หาเพื่อนไปยากมาก T.T) ใครเป็นสายท่องเที่ยว เชิญมาเมาท์มอยหอยสังข์กันได้นะคะ เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่จริงใจค่ะ :) กริรกริ

Recommended Articles

This error message is only visible to WordPress admins

Error: No feed found.

Please go to the Instagram Feed settings page to create a feed.