รีวิวเที่ยว Egypt ด้วยตัวเอง 11 วัน

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เราเชื่อว่าประเทศอิยิปต์ น่าจะเป็น dream destination ของหลายๆ คน เพราะที่นี่ นอกจากจะมีหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เก่าแก่ที่สุด ที่ต้องมาเยือนซักครั้งก่อนตายอย่าง The great Pyramid of Giza แล้ว (ก็มันถูกสร้างในสมัย 2560 BC หรือ 4,500 ปีก่อน!!! ตายแล้วเกิดใหม่ไปกี่รอบหล่ะนั่น) ยังมีสถานที่อื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่างเช่น วิหาร Abu Simbel, แม่น้ำไนล์ เป็นต้น ด้วยประวัติศาสตร์ความเจริญรุ่งเรืองกว่าเมื่อ 3-4 พันปีที่แล้ว ทำให้ที่นี่ มีของที่น่าทึ่งเยอะมากๆ คนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนได้อย่างไม่ขาดสาย (แม้ว่าจะอยู่ติดกับประเทศที่เค้ารบกันอยู่ก็ตาม ฮาาา)

Pyramids of Giza

อย่างไรก็ตาม อาจจะด้วยความที่ไม่อยากต้องไปดีลกะแขกเองโดยตรง หรือด้วยความลำบากด้านภาษา หรืออะไรก็ตาม เราจึงสังเกตเห็นว่ามีหลายๆ คนที่เลือกมาเที่ยวอิยิปต์แบบทัวร์กัน แต่การมาอิยิปต์ของเราครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว โดยครั้งแรกเรามาทัวร์ ครั้งนี้เราก็เลยคิดว่าจะลองมาเองดู วันนี้ก็เราถือโอกาสขอมารีวิวการเที่ยวอิยิปต์ด้วยตัวเองของเราสองคนนะคะ เผื่อเพื่อนๆ ที่คิดจะมาเที่ยวเอง จะได้เตรียมตัวพร้อมกันเตรียมใจถูกค่ะ

การเดินทาง (Transportation)

ก่อนจะมาลงถึงรายละเอียดการเดินทาง เราขออธิบายแพลนเที่ยวของเราคร่าวๆ นะคะ

เราเริ่มเที่ยวจาก Cairo > Aswan > Abu Simbel (one day trip from Aswan) > Luxor > Cairo รวมๆ แล้ว 11 วันค่ะ 

จากประเทศไทย ขาไปเราเลือกนั่ง Business Class ของสายการบิน Gulf Air ซึ่งก็จะไป transit ที่ประเทศบาเรน ส่วนขากลับเรานั่ง Saudia Airline ไป transit ที่ Jeddah ประเทศซาอุดิอาราเบีย ซึ่งทั้ง 2 airlines นั้นดีทั้งคู่ ดีกว่าป้าม่วงเยอะ! โดยเฉพาะ seat configuration ที่ทั้งใหม่และกว้างมาก นอนยืดขา พลิกไปพลิกมาสบายอ่ะ ส่วนเรื่องอาหารก็กลางๆ นะ อาจจะเพราะเป็นสายการบินอาหรับ อาหารเลยเทไปทางอาหรับและฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ แต่โดยรวมคือดี

ประเทศอิยิปต์ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการจราจรวุ่นวายมากๆ ถนนหนทางที่นี่เค้าไม่มีการตีเส้นแต่อย่างใดนะคะ ใครอยากขับเลนไหน ขับเลย นี่ขนาดใน cairo ที่เป็นเมืองหลวงนะ นอกเมืองนี่ไม่ต้องพูดถึง และที่นี่ยังมีรถม้าอยู่นะคะ ทั้งรถม้าที่เป็นรถม้าสำหรับนักท่องเที่ยว และรถม้าจริงๆ ที่เป็นรถลากเกวียน ออกมาต่างจังหวัดหน่อยนี่ ลาลากเกวียนก็มีค่ะ บนถนนนี่มีแต่เสียงเตร บีบกันไปตลอดทาง โอ้ยยยย ปวดหัวมาก 

จาก Cairo ไป Aswan เราเลือกนั่งเป็นรถไฟตู้นอนค่ะ เพราะเวลาค่อนข้างดี คือออกจาก Cairo ตอนค่ำ มีให้เลือก 3 เที่ยวด้วยกัน ถึง Aswan ตอนเช้าแบบ 9 โมงไรงิ รถไฟค่อนข้างเก่า ชานชาลาก็ไม่ดี ไม่มีที่นั่งดีๆ ให้รอนะคะ ถ้าไปก่อนนานๆ นี่ ต้องมีแกร่วรอข้าง track รถไฟ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่แยกคนต่างชาติกะชาวอิยีปต์ไว้แยกกันค่ะ ไม่รู้ทำทำไม และจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนึงคอยเฝ้าเราอยู่ ส่วนตู้นอนนี่ไม่สะอาดเลยค่ะ ฝุ่นเยอะมาก เราโชคดีที่เอาผู้เช็ดตัวผืนใหญ่ผืนเล็กมาก เลยเอามาปูรองหมอนกะผ้าห่ม ถ้าใครไม่เรื่องมาก ก็หลับได้ยาวอยู่ค่ะ สำหรับเรา เราก็หลับยาวถึง Aswan เลยค่ะ สำหรับความตรงเวลา รถไฟสายนิดหน่อย ไม่มาก ประมาณ 5-10 นาที แถมถึงปลายทาง aswan ก่อนครึ่งชั่วโมง ถือว่าไม่แย่ค่ะ แต่บางรีวิวก็บอกว่า delay เหมือนกัน สงสัยแล้วแต่ดวง ส่วนการจองรถไฟที่อิยิปต์ ไม่สามารถให้คนต่างชาติจองผ่านเวบไซต์ official ของ Egypt National Railway ได้ค่ะ ต้องจองผ่าน agency เท่านั้น เราจองผ่าน https://abelatrains.com/Home โดยจะเปิดให้ซื้อก่อนวันเดินทาง 2 อาทิตย์ล่วงหน้าเท่านั้น

Aswan

สำหรับการเที่ยวในตัวเมือง Cairo เราใช้ Uber เป็นหลัก ​เพราะราคา fix ไม่เหนื่อยกับการต่อรองราคา แนะนำว่า ตอนจ่ายตังให้เลือกเป็นเงินสด เพราะคนที่นี่ ค่อนข้าง tricky อ้อ! เราแนะนำว่าให้ทุกคนฝึกอ่านตัวเลขภาษาอาหรับไปก่อน เพราะป้ายทะเบียนที่นี่ เขียนด้วยตัว Arabic numeral นะคะ ไม่ใช่ numeral แบบบ้านเรานะคะ

และเนื่องจาก Cairo เป็นเมืองเดียวที่มี Uber การเที่ยวในเมืองอื่นๆ เราเลยใช้วิธีการซื้อ package เหมารถ+คนขับไปเลยค่ะ โดย package ที่เราซื้อคือรถ+คนขับเป็นเวลา 5 วัน คุณชายหามาใน internet นี่แหละ ครอบคลุมการเที่ยวที่เมือง Aswan, Abu Simbel, Luxor แถม Hot Air Balloons, นั่งเรือชม sunset บนเรือ Felucca และ airport transfer ด้วยในราคาคนละ 195 USD สองคนก็ 390 USD ซึ่งถือว่าคุ้มมากค่ะ แต่คนขับและรถที่เค้าจัดมาให้แต่ละวันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางวันคนขับก็พูดภาษาอังกฤษได้ บางวันก็พูดไม่ได้ บางวันรถก็ดี บางวันรถก็เก่า เหมือนเค้าค่อยๆ  deal กะคน local เป็นวันๆ ไป แต่ถือว่าสะดวกมากเลยค่ะ เพราะเป็น private transportation จะไปเมื่อไหร่ ไปที่ไหนก็คือตามแพลนเราเลย แต่ราคานี้ไม่รวมไกด์นะคะ คือต้องหาข้อมูลอ่านเอง หรือว่าไปจ้างไกด์แยกต่างหากก็ได้ค่ะ 

Abu Simbel Temple

การเดินทางอีกแบบหนึ่งที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันคือการล่อง cruise บนแม่น้ำ Nile โดยสามารถล่องได้ระหว่างเมืองหลักๆ ได้แก่ Aswan, Luxor, Cairo แต่ route ที่ popular เห็นจะเป็น Aswan < > Luxor โดยระยะเวลาจะมีตั้งแต่ 4-6 วัน แล้วแต่ว่าจะเอาชิวแค่ไหน เพราะที่เที่ยวมันสำคัญๆ มันแทบจะเหมือนกันเลยค่ะ การท่องเที่ยวแบบนี้ เหมาะกับคนที่มีเวลาเยอะๆ และต้องการชิวมากๆ เพราะจริงๆ ระยะห่างระหว่าง 2 เมืองนี้ ถ้าขับรถจริงๆ แค่ 2 ชั่วโมงก็ถึง ข้อดีของการล่องเรือ แน่แหละว่าจะได้ดื่มด่ำบรรยากาศริมแม่น้ำ เห็น lanscape ที่เป็นแม่น้ำ ต้นมะพร้าวบวกกันฉากหลังเป็นเนินทราย ซึ่งเป็น landscape ที่ unique มากๆ และพบได้ที่นี่เท่านั้น สำหรับราคาของ cruise ขึ้นอยู่กับเรือที่เลือก ซึ่งมีทั้งธรรมดา หรู หรูมาก จนไปถึงหรูสุดๆ ก็เลือกเอาตามสบายนะคะ ถ้าดูใน internet จะมี option ให้เลือกเยอะมาก ซึ่งราคาก็หลากหลายมากเช่นกัน เราเคยอ่านรีวิวมา บ้างบอกไม่ตรงปกบ้าง บ้างก็ราคาเกินคุณภาพไปมาก มีหลายคนที่ไม่ได้ซื้อทัวร์ไปล่วงหน้า แต่ไปซื้อที่ท่าเรือก็ได้ราคาถูกกว่ามากก็มี สำหรับเราครั้งนี้ไม่ล่องค่ะ เพราะเวลาไม่อำนวย บวกกับเรือจะมีกำหนดการแน่นอนว่าจะออกจากเมืองนี้ วันนี้เท่านั้น เช่น เรือส่วนมากจะออกจาก Aswan ไป Luxor ทุกวันจันทร์อะไรงิ ทำให้ plan ของเราไม่ค่อย flexible เราเลยเลือกเดินทางด้วยรถยนต์แทนค่ะ

Temple of Nefertari

ส่วนจาก Luxor กลับ Cairo เราใช้วิธีการบินกลับโดย Egypt Air ค่ะ (ทีเ่ลือก Egypt Air เพราะเป็นเครือ star aliance สะสมไมล์ได้) flight แอบ delay เซงมาก เพราะ flight เราเป็น flight ดึกอยู่แล้ว กลับถึง Cairo ก็ตี 2 กว่า เข้าโรงแรมก็สลบเลยค่ะ

ที่พัก (Accommodation)

สำหรับราคาที่พักที่อิยิปต์ เราถือว่าค่อนข้างแพง โดยเปรียบเทียบราคากับคุณภาพที่ได้ โดยคุณอาจจะต้องจ่ายเงินถึงคืนละเป็นหมื่น เพื่อให้ได้มาตราฐานระดับ 5 ดาวจริงๆ ที่ประเทศอื่นเค้าได้กันไรงิ แถม international chain hotel ก็น้อยด้วยค่ะ เราเป็นคนเลือกพักแต่ international chain hotel ก็เลยมี selection ให้ไม่มากนัก ที่ไหนใช้ point ได้เราก็จะใช้ point เอาค่ะ ประหยัดเงิน สำหรับทริปนี้ ที่ Cairo เราพัก 2 อยู่ 2 โรงแรม ได้แก่ St. Regis Cairo และ The Ritz Carlton Cairo ทั้งสองโรงแรมก็ได้มาตราฐานโรงแรม 5 ดาวอยู่แล้ว แต่ The Ritz Carlton จะเก่ากว่ามาก แม้ว่าจะผ่านการ renovate มาแล้วครั้งหนึ่งจากการที่มีจลาจลในอิยิปต์เมื่อหลายปีก่อน และโรงแรมถูกเผามารอบนึง renovate กลับมาก็ถือว่าโอเคอยู่ แต่ไม่ใหม่เท่า St. Regis อย่างไรก็ตาม The Ritz Calton ถือว่าอยู่ location ดีกว่า ใกล้ museum ที่กินที่เที่ยวมากกว่า

Sofitel Legend Old Cataract Aswan

สำหรับที่ Aswan เราพักที่โรงแรม Sofitel Legend Old Cataract Aswan ค่ะ ซึ่งต้องขอบอกว่า ชอบมว๊ากกก และแนะนำมากๆ สำหรับคนที่จะมา aswan คือต้องโรงแรมนี้เท่านั้น แน่นอนว่าไม่ถูก ถือได้ว่าแพงมากๆ แต่เราบอกได้เลยว่า โรงแรมนี้มีดีที่ location สวยจริงๆ เรื่องความหรู ความสะอาด และบริการนี่ไม่ต้องพูดถึง ให้ 6 ดาวไปเลย ถ้าคุณมีงบจำกัด ก็ให้เลือกพักที่อื่นถูกๆ ก็ได้ค่ะ แต่เมือง Aswan คือต้องโรงแรมนี้จริง เพราะโรงแรมตั้งอยู่ location เจ๋งๆ มาก กลางแม่น้ำไนล์ แต่ไม่ต้องนั่งเรือ คือมันตั้งตรงส่วนที่เป็นแผ่นดินยื่นออกไปในแม่น้ำ แล้ววิวแม่น้ำไนล์ตอนเย็นๆ นี่แบบสุดยอดมาก การตกแต่งโรงแรมแนว vintage แถมโรงแรมนี้ก็เป็นโรงแรมที่อดีตเก่าแก่เป็นร้อยปี คนดังหลายคนก็พักที่นี่ รวมถึงหนังดังอย่าง Dead on the Nile ที่เป็นงานเขียนของ Agatha Christie ก็เขียนหนังสือเรื่องนี้ที่โรงแรมนี้ และได้ใช้โรงแรมนี้เป็น location ในนิยายด้วยค่ะ เจ๋งไปเลย

ส่วนที่ Luxor เราพักที่ Hotel Pavillon Winter Luxor ค่ะ ถือว่ากลางๆ แต่โชคดีที่มันใช้ facility เดียวกับ Sofitel Winter Palace Luxor ซึ่งทำให้เราจ่ายราคาที่ถูกกว่า แต่ได้อยู่บริเวณเดียวกะโรงแรมตัว Top ฮาาาา ในเรื่อง location ก็ถือว่าดีมาก ใกล้ Luxor Temple แบบเดินไปได้ แถมอยู่ติดกับแหล่งร้านอาหารในระยะ walking distance อีกด้วยค่ะ

อาหาร (Food)

คนที่นี่เป็นคนอาหรับซะส่วนใหญ่ แน่นอนว่าอาหารก็เป็นอาหารอาหรับสิคะ พวก Kabab, Kafta, Tajine อะไรพวกนี้ สำหรับเราสองคนชอบกินอาหารอาหรับอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอาหารการกินมาก แต่บางมื้อเบื่อมากๆ ก็มีร้านอาหารไทยอยู่นะ ทั้งที่ Cairo และที่ Luxor แต่ถ้าใครไม่ถูกปากอาหารอาหรับ แนะนำเอามาม่ามาเยอะๆ ค่ะ

สภาพอากาศ (Weather)

Kom Umbu

ประเด็นนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ อากาศที่อิยิปต์นี่แย่มาก ถึงมากที่สุด ฝุ่นเยอะมาก PM 2.5 นี่เด้งไปถึง 130-140 กันเลยทีเดียว เราอยู่มาจะอาทิตย์นึงละ เจ็บคอมาก แล้วก็เริ่มไอแห้งแล้วด้วย ใครจะมาอิยิปต์ อย่าลืมพกผ้าปิดปากมาด้วยนะคะ สำคัญมาก

ชาวอิยิปต์ (Egyptians)

Camel Ride

อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ คนอิยิปต์ค่ะ เราคิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินมาว่า เจองูกะเจอแขก ให้ตีแขกก่อน ใช่มั้ยคะ 5555 เราก็เห็นตรงกันเลยค่ะ อันนี้ไม่รู้จะโดนด่าประเด็น discreminate รึเปล่า แต่คนที่นี่โกงจริงๆ นะ เชี่ย~~~ ขนาดกรูซื้อ KFC มันยังจงใจทอนเงินขาด แสรดดด พูดถึงมุขพวกขี่อูฐขึ้นรถม้าเลยนะ ตกลงกันราคานึง ขับๆ ไปขอทิป บอกรถติด หอยหลอด แล้วยังมุขเปลี่ยนค่าเงิน เช่น ตอนยื่นขายของบอก one dollar ตอนจะจ่ายเงินบอก one nubiean dollar, if USD dollar then 5 USD… อะไรของมัน คิดว่ากรูโง่หรอ ส่วนมุขประเภทขึ้นอูฐราคานึง ตอนจะลงบอกต้องจ่ายค่าลงด้วยอันนี้กรูรู้ละ เลย deal ไว้ตั้งแต่ก่อนขึ้นว่า ราคาที่ให้มานี่ เมิงรวมลงแล้วนะ? สองคนแล้วใช่มั้ย? Egyptian pound นะ ไม่ใช่ USD สุดท้ายคือ ราคาที่บอกมานี่ 2 คนนะเมิง โอ้ยยยย กว่าจะซื้อของหรือใช้บริการแต่ละอย่าง คุยกันเปลืองน้ำลาย เจ็บคอแค็กๆ

เอาจริงๆ เงินที่เค้าจะโกงเรามันก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่มันหงุดหงิดไง คือเมิงบอกราคาจริงๆ มาเลยไม่ได้รึไง จะได้ไม่ต้องนั่งลุ้น นั่งต่อ นั่งด่าให้เสียอารมณ์ และทุกสถานที่เที่ยว พวกนักท่องเที่ยวก็จะโดนคนขายของที่ระลึกรุมซ้ายขวาหน้าหลัง เวลาเดินนี่ต้องพยายามอย่าสบตา ไม่งั้นนี่เดินตื้อถึงรถแน่ ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไป ก็ถือว่าการเที่ยวอิยิปต์โอเคอยู่

ค่าเงิน (Currency)

ประเทศอิยิปต์ยังใช้เงินสดเป็นหลักอยู่นะคะ แต่ที่นี่ ใช้ได้ทั้ง Egyptian pound และ USD  ที่ตลกคือ คุณสามารถแลก USD กับใครก็ได้แม้แต่คนขับแท็กซี่ 555 ส่วนเรท ถ้าไปแลกเถื่อนที่ Cairo จะได้เรทดีสุดคือ 1 USD = 41 EGP (as of 25 Oct 2023) โดยที่ published rate ที่ธนาคารจะแค่ 1 USD = 31 EGP เท่านั้น เห็นป่ะคะว่าต่างกันมากโข นั่นเพราะค่าเงิน EGP ตกลงมาเรื่อยๆ ในรอบหลายปี และตอนนี้ EGP ค่าเงินแบบต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก คนส่วนใหญ่จึงอยากได้ USD มากกว่าเงินของประเทศตัวเองค สำหรับใครต้องการมากด ATM ที่นี่ก็สามารถทำได้นะคะ กดทีนึง maximum 4000 EGP ค่ะ

ค่าเข้าชม (Entrance Fee)

Valley of the Kings : Tomb of Sety I

สำหรับ Entrance fee ของสถานที่เที่ยวต่างๆ จะแยกราคาคนต่างชาติ กะคนอิยิปต์ (เหมือนประเทศไทยเลย 555) แน่นอนว่าคนต่างชาติจะถูกคิดราคาแพงกว่าหลายเท่า โดยจะรับจ่ายด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น ไม่รับเงินสด แต่รวมๆ แล้วราคาค่าเข้าชมสถานที่ก็ไม่ได้แพงเวอร์วังอะไรมากนะคะ vary ตั้งแต่ 200-400 บาทต่อคน แต่อาจจะมีเก็บยิบย่อยเป็น add-on เช่น จะขึ้นดู rooftop panorama จ่ายเพิ่ม 50 หรือการลงสุสานที่ King’s valley จะมี 3 หลุมที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษค่ะ แพงสุดก็หลุม Sety I ซึ่งต้องจ่ายเพิ่ม 1400 EGP ต่อคนเลยทีเดียว แต่ถามว่าคุ้มมั้ย บอกเลยว่า คุ้ม! เพราะข้างในหลุมสวยจริงๆ ค่ะ พวกภาพวาดและการแกะสลักข้างในสมบูรณ์มากๆ รวมถึงสีที่ยังไม่หลุดลอก แม้จะผ่านมา 3 พันกว่าปีแล้วก็ตาม

Edfu Temple

SIM Card

เราไม่เปิด roaming มานะคะคราวนี้ เพราะมีคนบอกว่า ซื้อ sim ที่นี่ถูกกว่ามากและได้จำนวน GB เยอะกว่า ตอนแรกก็ลังเล กลัวโดนโกง แต่ก็ซื้อมานะคะ เราซื้อของ vodafone มา ซองบอก 4G คนขายบอกว่า ใช้จริงประมาณ 3.5G อย่างฮา พอใส่ sim ไป พยายามกดดูว่าเหลือกี่ GB แต่อ่านข้อความไม่ออกอีก พอถึงเวลาใช้จริง ก็ใช้ได้นะคะ แต่ไม่เร็วเท่าไหร่ ออกตามต่างจังหวัดบางทีสัญญาณหาย แต่ก็เอาเหอะ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พอใช้กล้อมแกล้มเล่น facebook line ได้อยู่ค่ะ

Edfu Temple

คร่าวๆ น่าจะประมาณนี้แหละค่ะ ต้องขออภัยกับการที่บางทีรูปไม่ตรงกับหัวข้อนะคะ เพราะ ณ เวลาที่เขียนอยู่นี้ คือกล้องหายค่ะ หายทั้งเซต SD card ใดๆ ก็คือไปด้วยเลย แล้วไม่ได้ backup รูปเก็ยไว้ ดังนั้น รูปที่เอาใส่ในนี้คือเป็นรูปที่เคยค้างอยู่ในโทรศัพท์มือถือค่ะ ยังไงก็ตาม ใครสนใจแพลนเที่ยวของเรา หรืออยากปรึกษา สามารถ dm มาคุยกันหลังไมค์ได้นะคะ 🙂 แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าค่าา 🙂

Amy Yu

สะใภ้จีนที่รักการท่องเที่ยวและการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าไม่ได้ทำงาน ซึ่งจริงๆแล้ว "ผิดถนัดค่ะ" ยังทำงานประจำอยู่นะคะ เป็นสาววิศวะไอที มีการงานทำค่ะ ประเทศที่ไปแล้วชอบมากเป็นอันดับหนึ่งคือ Iceland ส่วนประเทศที่ไปแล้วไปอีกเพราะสนุกดีคือ อินเดีย ประเทศที่ยังไม่ได้ไปแต่อยากไปมว๊ากกก คือ เคนย่า (หาเพื่อนไปยากมาก T.T) ใครเป็นสายท่องเที่ยว เชิญมาเมาท์มอยหอยสังข์กันได้นะคะ เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่จริงใจค่ะ :) กริรกริ

Recommended Articles

This error message is only visible to WordPress admins

Error: No feed found.

Please go to the Instagram Feed settings page to create a feed.