Alaska RV Road Trip: EP1 Alaska! Here we come!

Alaska รัฐที่ 49 ของสหรัฐอเมริกาและเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุถือเป็น dream destination ของหลายๆคนโดยเฉพาะสายท่องเที่ยวธรรมชาติ เพราะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสัตว์ที่หลากหลาย อาทิเช่น ป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกา (Mt. Denali) มีภูเขาไฟมากกว่า 100 แห่ง อุตสาหกรรมหลักคือการจับปลาและอาหารทะเล โดยเฉพาะ America’s salmon, crab, halibut, และ herring นอกจากนั้น ยังเป็นแหล่งที่สามารถผลิตน้ำมันถึงได้ถึง 25% ของน้ำมันทั้งหมดที่ขุดได้จากอเมริกาอีกด้วย

คุณรู้หรือไม่ว่า? อลาสก้าห่างจากรัสเซียเพียงแค่ 50 ไมล์เท่านั้นเอง

หน้า Summer นี้ เราและครอบครัว ตัดสินใจไปเที่ยวอลาสก้าจากรูปๆ หนึ่งที่เห็นทางอินเตอร์เนตค่ะ เป็นรูปคนพายเรือคายัคท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง รูปนี้

คือเห็นแล้วแบบ เหยยยย โคตรเท่อ่ะ ปกติได้แต่พายในหนอง แต่นี่ พายในน้ำแข็ง แถมไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดา (เพราะถ้าเป็นน้ำแข็งธรรมดา เราจะเหมือนเฉาก๊วยมากเกินไป อันนี้มุขนะ ไม่ขำ กรุณาข้าม) แต่นี่เป็นน้ำแข็งที่มาจาก Glacier หรือธารน้ำแข็ง เพราะสีมันฟ้ามว๊ากกกก อ๊าคคค ล้ำไปอีกค่าาาา เห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกดจอดตั๋วเครื่องบินรัวๆ แล้วค่อยไปลาเจ้านายทีหลังตามระเบียบ “ไปละจ้านายจ๋า อลาสก้าเรามาแว้วววว”

การเที่ยว Alaska หลักๆ เห็นจะมีได้ 3 วิธี ได้แก่ ล่อง cruise ซึ่งเป็นวิธีที่น่าจะเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ อันนี้เดาเอา เพราะเห็นใครมา ก้อต้องล่องเรือกันตลอด อีกแบบหนึ่งคือแบบบินรัวๆ ซึ่งเห็นจะเป็นวิธีที่คนมักใช้กันในฤดูหนาวเพราะถนนหนทางค่อนข้างลำบาก ปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นส่วนใหญ่ ถนนบางสายถึงกับถูกตัดขาดเลยก็มี และวิธีสุดท้ายที่เราเลือกใช้คือ การขับรถเที่ยว ด้วยเหตุผลที่ครอบครัวเราไม่นิยมนั่ง cruise เพราะรู้สึกมันน่าเบื่อ แต่การขับรถเที่ยวครั้งนี้ของพวกเรา ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเราตัดสินใจเช่ารถ RV หรือที่พวกเราๆ ชอบเรียกกันว่ารถบ้าน นั่นเองค่ะ ดังนั้น  concept ของการเที่ยวอลาสก้อครั้งนี้จึงเป็น

“เหิรฟ้าท้า Alaskan’s Glaciers
เดินป่าส่องหมีแบบเบลอๆ ที่ Denali
สุขขี ตีพุงนอนในรถบ้าน
พายคายัคในวิมานธารน้ำแข็ง
วิ่งแข่งบน Matanuska Glacier

วกมาเจอ king salmon ว่ายทวนน้ำเป็นล้าน
ก่อนกลับบ้าน แล่นเรือชม Fjord”

ขออภัยในความไม่คล้องจองมา ณ ที่นี้ กร๊ากกก

ITINERARY 
 

นี่เป็นแผนการเดินทางของเราแบบคร่าวๆ โดยเริ่มและจบทริปที่ Anchorage เมืองที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า (แต่ไม่ใช่เมืองหลวงนะเธอว์ เพราะเมืองหลวงของอลาสก้าคือ Juneau ต่างหาก)

Day 1: Bangkok > Seattle

Day 2: Seattle > Anchorage > Talkeetna

Day 3: Talkeetna – Flying over Denali with K2 > Denali

Day 4: Denali > Denali National Park Day Tour

Day 5: Denali > Valdez

Day 6: Valdez – Sea Kayak at Columbia bay

Day 7: Valdez > Matanuska – Matanuska Glacier Walk

Day 8: Matanuska > Whittier > Seward

Day 9: Seward – Salmon Fishing at Cooper Landing

Day 10: Seward – Kenai Fjord Cruise

Day 11: Seward > Anchorage > Seattle

จากนั้นเราอยู่เที่ยว Seattle และ Portland กันอีก 4 วันก่อนบินกลับกรุงเทพ เอาจริงๆ คือเน้น shopping  ซะเป็นส่วนใหญ่ 555 แต่เราจะพูดถึงแค่เฉพาะส่วนเที่ยวอลาสก้าแล้วกันนะคะ

HOW TO GET TO ALASKA?
 

จากกรุงเทพถึงอลาสก้า เราเลือกบินไปลงที่ Seattle ก่อนด้วยสายการบิน  EVA เพื่อต่อเครื่องไปยัง Anchorage ด้วยสายการบิน Alaska Airlines รวมเบ็ดเสร็จก้อ 27 ชั่วโมงพอดี (รวมเวลา transit ด้วย) เอิบ…. ถือว่าเป็นการเดินทางอันยาวไกลติด top 3 อีกหนึ่งทริปเลยนะเนี่ยะ แน่นอนว่าคุณต้องใช้วีซ่าอเมริกา ใครที่มีวีซ่าแบบ 10 ปีแล้วก็ไปได้เลยโล้ด

มาดูกันดีกว่า ว่าขับรถเที่ยวอลาก้าหน้าร้อนมันเป็นยังไง 🙂

ANCHORAGE : RV Pickup

ตีสามกว่าๆ เรามาถึงเมือง Anchorage ด้วยสายการบิน Alaska airline เที่ยวบิน 121 ที่สนามบิน Ted Stevens Anchorage International Airport (ANC) ด้วยเหตุที่ทีมเรามีผู้ร่วมทริปทั้งหมด 6 คน จำนวนกระเป๋าเดินทางก็มากตามไปด้วย เราจึงทำการจองรถตู้แบบนั่ง 12 คนไว้ล่วงหน้า ราคา $50 เกือบๆ ตี 4 รถตู้มารับเรา และพาเราไปยัง Great Alaskan Holidays ซึ่งเป็นบริษัทที่ทั้งขายและให้เช่ารถ RV แบบต่างๆ โดยบริษัทนี้ ห่างจากสนามบินไปไม่นาน ประมาณ 20 นาที

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจรายละเอียดการเช่ารถ RV เที่ยวที่อลาสก้า วิธีการเช่า วิธีการขับ และอื่นๆ เราขออนุญาติเขียนแยกไปอีกตอนหนึ่ง เพราะรายละเอียดมันเยอะมากจริงๆ ค่ะ

Great Alaskan Holidays บริษัทที่เราเช่ารถ RV ไว้

เพื่อนๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่า เหยยยยย ตีสี่นะคะคูณ~~~~~ บริษัทเช่ารถที่ไหนจะมาเปิดบริการคุณคะ? อ๊ะๆ บอกเลย… ที่นี่เค้ามีบริการที่เรียกว่า After Hours Pick-Up ซึ่งเป็นบริการที่คุณสามารถเอาตัวและสัมภาระของคุณเข้าไปอยู่ในรถ RV ได้เลย ในกรณีที่คุณมาถึงในช่วงที่ Office ปิดแล้ว เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมก่อนหนึ่งคืน ก่อนจะ check in เพื่อเอารถตอนเช้า

ตีสี่กว่าๆ เราไปถึงที่บริษัท Great Alaskan Holidays ฟ้าสว่างเชียว เราทั้ง 6 คน ก็ทำการลากกระเป๋าไปยังลานกว้างที่มีรถ RV หลายๆ ขนาด จอดเรียงรายกันมากมาย เราเดินหารถที่มีชื่อเราติดอยู่หน้ารถ ไม่นานก็เจอ…. เหยยยยยยย รถใหญ่มากเว่อ แค่เห็นรถก็ตื่นเต้นแล้ว ทำการสำรวจรถกันยกใหญ่ ไม่นาน…ก็สังเกตว่า เหยยยย รถข้างๆ ก็มีคนนอนอยู่ น่าจะใช้บริการ After Hours pick-up แบบเราเหมือนกัน จึงลดเสียงโวยวายโหวกเหวกลง และหาที่ทางนอนกันคนละมุม โดยทางบริษัท ได้ทำการปูผ้าปูที่นอนให้เราบางส่วนแล้ว หลังจากการเดินทางมานาน 27 ชั่วโมง ทำให้ไม่นาน เสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อกี้ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรนรัวๆ ด้วยความรวดเร็ว

เช้าวันเดียวกัน (ก็เมื่อคืนกว่าจะได้นอนตีสีเกือบตีห้า) เราตื่นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก พบว่า อ๊ะนี่เราอยู่ในรถนี่ ใช่แล้วค่ะ วันนี้พวกเรามีนัด check-in เพื่อรับรถและทำ orientation การขับรถ RV ในเวลาเช้า 10:30 พวกเราทั้ง 6 สภาพงงๆ บวกกับเบลอแบบยังปรับเวลาไม่ได้ ก็เดินมึนๆ ไป check-in ที่ Office เช่ารถ ที่ตอนนี้เปิดแล้วจ้า ในบริเวณ office มีบริการชา และกาแฟตามสะดวก หลักจากทำการจ่ายตังค์ในส่วนที่เหลือเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็จับเราไปนั่งในห้องเพื่อดูวิดีโอการขับรถ RV ซึ่งมีรายเอียด วีธีการ และข้อควรระวังมากมาย เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาภาษาอะไร แต่ภาษาไทยไม่มีนะ มีแต่ภาษาจีน เราก็เลือกภาษาอังกฤษตามระเบียบ นั่งดูไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จบหลักสูตร เจ้าหน้ายื่นกุญแจให้เรา ซึ่งมี 3 ดอก ดอกแรกคือประตูหน้า 2 บานและเป็นดอกที่ใช้ในการ start รถ ดอกที่สองเป็นดอกที่ใช้สำหรับส่วน coach หรือประตูบ้าน ซึ่งจะมีมาให้ 2 ชุด และดอกสุดท้ายเป็นกุญแจสำหรับล็อค compartment อื่นๆ ที่อยู่นอกตัวรถซึ่งเป็นช่อง service และ storage หลักจากรับกุญแจมาแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้เราทำการตรวจรับรถ โดยเราจะดูรอยขีดข่วนรอบรถ ยาง ปริมาณน้ำ แก๊ส LPG และระดับน้ำทั้งสาม (Pottable, gray, black) เมื่อทุกอย่างโอเค ก็ถึงเวลาออกลุย~~~~~

จุดมุ่งหมายวันนี้อยู่ที่ Talkeetna ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือของ Anchorage ไปอีกประมาณ 119 miles แต่ก่อนจะออกจากเมือง เราก็แวะ Supermarket เพื่อตุนเสบียงกันก่อน ดังนั้นจุดแวะแรกของเราจึงเป็น Walmart Supercenter ที่อยู่ห่างจาก Great Alaskan Holidays ไปเพียงแค่ 0.7 mile เท่าน้านนน ใกล้มากจ้า ว่าแล้วก็จัดการซื้อน้ำ อาหารสดเช่น หมู ไก่ เนื้อ กุ้ง ปู อะไรก็แล้วแต่ รวมถึงผักสด ผลไม้ ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง และของจำเป็นอื่นๆ อย่าง paper towel ผ้าขี้ริ้ว ฯลฯ ตามแต่ใจอยาก และก็จัด McDonald’s กันไปอย่างง่ายๆ ก่อนจะไปต่อกันที่ Asian Supermarket อีกแห่งหนึ่งชื่อ Lucky Market ซึ่งเป็น Supermarket ที่ขายของ asian มีทั้งผักบ้านเรา และเครื่องปรุงน้ำปลา น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว ดำ เครื่องปรุงรสอื่นๆ มาม่า เอาเป็นว่า ไม่ต้องแบกไปเลยก็ได้นะคะ ไปซื้อเอาที่นู่นเลย มีหมด

Shopping ที่ Walmart

หลักจากตุนเสบียงกันเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือ สำหรับสมาชิกเรา บ้างก็จัดอาหารและอุปกรณ์ให้เข้าที่เข้าทาง บ้างก็เข้ามุมนอน บางคนนี่ตีตั๋ว First Class นอนเตียงควีนยาวไป ส่วนโชเฟอร์เราก็ขับรถยาวไป ประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง Talkeetna Camper Park ซึ่งเป็น campsite แรกของเราสำหรับ RV road trip นี้

White cherry ที่ซื้อจาก walmart อร่อยมว๊ากกก ถูกด้วย

Talkeetna Camper Park

พอเรามาถึงก็ทำการ check-in ก่อน แบบโรงแรมทั่วไป Staff ของ campsite จะบอกเราว่า จะต้องเอารถไปจอดที่ slot ไหน ที่นี่เป็นแบบ pull through คือเข้าจอดแบบเอาหน้าเข้า ก้อเสียบเข้าไปง่ายๆ เลย จากนั้นเราก็ทำการต่อน้ำต่อไฟเสร็จสรรพ เพื่อนบ้านเป็นฝรั่งสามีภรรยา ออกมานั่งจิบเบียร์โบกไม้โบกมือให้เราอย่างเป็นมิตร

ตอนเรามา รถจอดเกือบเต็มลานแล้ว ดูแน่นขนัดมาก
ไหนๆ ก็เช่าเก้าอี้มาแล้ว เอาออกมาเป็นพร็อบถ่ายรูปเก๋ๆ

เอาจริงๆ นะ เราไม่ค่อยประทับใจ campsite ที่นี่ซักเท่าไหร่ เพราะ space ของแต่ละช่องจอดอยู่ติดกันมาก ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว จะเปิดเพลงก็แอบเกรงใจฝรั่งรถข้างๆ แถมที่นี่ เวลาอาบน้ำมีจับเวลาด้วย โอ้วววว สระผมอาบน้ำเสร็จแบบเฉียดฉิวมาก  4 นาที ถ้าล้างฟองยังไม่หมด มีเสียอีก $2 แน่นอน นอกจากนั้น campsite ที่นี่ ยังตั้งอยู่ชิดริมทางรถไฟ รถไฟวิ่งผ่านนี่ เสียงแอบดัง แต่ยังโชคดีที่รถไฟวิ่งกันไม่เยอะมาก บวกกันอาการเหนื่อยจากการเดินทาง เราจึงนอนหลับกันสนิท รถไฟวิ่งก็ไม่ได้ยินจ้า

วิวทางรถไฟเก๋ๆ

การมาเที่ยวแบบ RV roadtrip นี้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การสร้างสรรค์อาหารแต่ละเมนูในแต่ละมื้อ ถือเป็น highlight สำคัญของทริปเราเลยก็ว่าได้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัว ร่วมด้วยช่วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน แทนการแยกย้ายไปเล่นโทรศัพท์กันคนละมุมสองมุม ระหว่างทาง เราก็จะช่วยกันคิดเมนูอาหารมื้อต่อไป ทันทีที่รถจอด เสียงในครัวก็เริ่มดังขึ้น จานชามช้อนก็เริ่มทยอยออกจากที่เก็บของมัน ไม่นานก็มีเสียงสับหมู เสียงหั่นผัก ตามด้วยเสียงโคร้งเคร้งๆ ของเตาหลิวที่กระทบกับหม้อไหไปตามเรื่อง เมนูต้ม ผัก แกง ทอด ต่างๆ ก็ทยอยออกมา จานต่อจาน นอกจากนั้น campsite ส่วนใหญ่ จะมี bench ที่เราสามารถนั่งรวมกลุ่มทานอาหารนอกรถ พร้อมกับชมธรรมชาติอันตระการตาไปในตัว ดังนั้น นอกจากทีมแม่ครัวหัวป่าแล้ว ทีม butler จัดโต๊ะอาหารก็ไม่ได้ยอมแพ้เช่นกัน ทำการจัดจานชาม ช้อมส้อม เตรียมน้ำดื่ม ให้พร้อม และแล้ว… อาหารมื้อแรกที่เราทำทานกันเองที่อลาสก้าก็เรียบร้อย …. bon appetit!

หลายคนอาจสงสัยว่า เห้ย! ปลาเค็มมาได้ไง!?! อันนี้แพ็คไปจากเมืองไทยเลยจ้า 5555

หลักจากจัดการอาหารมื้อแรกกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เราก็เดินเล่นรอบๆ campsite กันซักหน่อย อย่างที่บอก… campsite ที่นี่ ติดกับทางรถไฟ มีสถานีเล็กๆ น่ารักๆ อยู่ด้วย

สถานีรถไฟ Talkeetna

TALKEETNA : FLY OVER DENALI

เช้าวันต่อมา เราจัดการ check out ออกจาก campsite โดยไม่ลืมที่จะแวะจอดที่ dump station เพื่อทิ้ง gray และ black water ของเราก่อน วันนี้ 10:30 เรามีนัดกับบริษัท K2 Aviation ที่อยู่ไม่ไกลจาก campsite ที่นี่มีบริการ sightseeing tour แบบขึ้นเครื่องบินขนาดเล็กเก๋ๆ บินวนรอบธารน้ำแข็งที่มีเชื่องเสียงรอบๆเทือกเขา Denali เพื่อชมภูมิทัศน์อันน่าทึ่ง และความงามเหนือกาลเวลาของอุทยานแห่งชาติ Denali

 

สำหรับทัวร์ที่เราเลือกคือแบบ Denali Flyer with Glacier Landing โดยจะใช้เวลาบินทั้งหมด 1 ชั่วโมง 40 นาที ราคาเต็มคือ $380 ต่อคน แต่เรามีคูปองส่วนลด จึงทำให้เราซื้อทัวร์นี้ในราคา $345 ต่อคน (รวมค่าเข้า Denali National Park Service Pass ราคา $15 แล้ว โดย pass นี้จะมี validity 7 วัน)

 

 

สำหรับเพื่อนๆ ที่มีีแพลนจะเที่ยวอลาสก้าแบบเรา และมีสมาชิกร่วมทีมเยอะๆ เราแนะนำให้ซื้อ Alaska TourSaver ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่นสมุด และเวอร์ชั่น app บนมือถือ โดย 1 เล่ม จะใช้ได้ 1-4 คน เราซื้อมาตอนเล่มละ $69.99 โดยราคาจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณซื้อตอนต้นปี ราคาจะแพงหน่อย แต่ถ้าซื้อปลายๆ หน้า summer แล้ว ก็จะเหลืออยู่ที่ $49.99 Alaska TourSaver นี้ จริงๆ มันคือ coupon ที่รวบรวม deal ของบริษัททัวร์ต่างๆ ที่ให้บริการในอลาสก้าเอาไว้ เช่น ทัวร์วันนี้ของเรา Denali Flyer with Glacier Landing ของ K2 Aviation ก็ได้ลดคนละ $76  หรืออย่างทัวร์ Kenai Fjord Cruise ของ Major Marine ที่เราใช้บริการที่ Seward ก็ได้ลดคนละ $50

 

Image result for alaska toursaver

 

พอไปถึง เราพบว่าคนเยอะมว๊ากกกก ทั้งฝรั่ง ไทย จีน ต่อคิวกันเชคอินจ่ายตังค์เป็นแถว พนักงานบอกว่า วันนี้อากาศไม่ดี โอกาสที่เราจะได้ land บน glacier เป็น 50:50 โดยจะขึ้นกับวิจารณญานของนักบิน เอาแล้วไง… ไหงเป็นงี้อ่ะ เอาว๊ะ ยังไงก็ต้องไปลุ้นเอาตอนเครื่องบินขึ้นไปแล้ว พนักงานบอกอีกว่า ถ้าไม่ได้ land เค้าจะคืนเงินส่วนที่ land มา โดยจะคิดเท่ากับแบบที่ไม่ได้ land แทน

 

Office ของ K2 น่ารักมาก ปลูกดอกไม้เป็นหย่อมๆ
ใส่รองเท้าเพื่อไปเดินบน Glacier สวมทับรองเท้าเราไปเลย

เนื่องจากทัวร์ของเราตามแพลน จะต้องมีการ land บน glacier เราจึงต้องมาเปลี่ยนรองเท้ากันก่อน โดยเค้าจะจัด bucket รองเท้าตาม size XS S M L XL XXL นั่นเอง หลังจากเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ ไกด์เรา Tim ก็มาแนะนำตัว เครื่องบินเราไปกันทั้งหมด 8 คน หลังจากแนะนำ safety instruction เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกบิน~~~~

Co-Pilot Amy ก้อพร้อมเหมือนกันเด้อ ^^” ว่าไปนั่น
ขึ้นแล้วจ้า เห็นเทือกเขา Denali อยู่ไกลๆ

เพื่อนๆ จะเห็นว่าอากาศวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนที่เราบินขึ้น ฝนก็ตกปรอยๆ ระหว่างที่บิน Tim ก็อธิบาย area ต่างๆ ที่เราบินผ่าน ดังนั้นนอกจากเค้าจะเป็นนักบินแล้ว เค้ายังเป็นไกด์เราด้วย ส่วน headphone ที่เราใส่อยู่ก็จะมี mic. ซึ่งเราสามารถถามคำถามเค้าได้ตลอดเวลา นักบินเหล่านี้จะทำงานในอลาสก้าช่วง summer  พอถึงช่วง winter ที่ activity ต่างๆ หยุดบริการลง ส่วนมากก็จะย้ายประเทศไปทำงานที่อื่นที่เป็นหน้าร้อน อย่าง Tim นักบินของเรา นางบอกเค้าจะไปขับเครื่องบินที่ New Zealand ในช่วง winter ของอลาสก้า ซึ่งเป็นหน้า summer ของที่ New Zealand นั่นเอง เราบินอยู่เหนือผืนป่าอยู่ไม่นาน ก็เริ่มเข้าเขตเทือกเขา Denali…

Landscape นี้ ไม่น่าเชื่อว่าเป็น Alaska
เริ่มเข้าสู่เขตเทือกเขาแล้วครัช ช่องเขาที่เห็น นั่นคือธารน้ำแข็ง

Tim นักบินของเรา เล่าให้เราฟังว่า ธารน้ำแข็งที่เราเห็นในวันนี้ เป็นแค่เศษซากเล็ก ๆ น้อย ๆ ของความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่รอบ ๆ ตัวเราสามารถเห็นหลักฐานว่า ธารน้ำแข็งเหล่านี้ เมื่อก่อนได้ทำการครอบครอง landscape นี้ไปหมด ในช่วงยุคน้ำแข็งที่ผ่านมา ประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ธารน้ำแข็งยังคงปกคลุมเทือกเขาอลาสก้าอยู่เลย จนกระทั่งมันเริ่มละลายและเคลื่อนตัว ทำให้ รูปร่างของดินแดนในพื้นที่นี้เกิดเป็นรูปร่างตามการแกะสลักของธารน้ำแข็งไว้เยี่ยงนี้

Tim ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ธารน้ำแข็งในเดนาลีถูกปกคลุมไปด้วยเซลล์ของสาหร่ายพืชเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปกติจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เซลล์สาหร่ายเหล่านี้สุดท้ายก็เป็นอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่ลำดับสูงกว่าในห่วงโซ่อาหารเช่นพวกแมลง springtails ซึ่งพวกนี้ พอตายก็ย่อยสลายกลับไปรวมร่วงกับธารน้ำแข็งใหม่ ง่ายๆ แบบนี้เลย เพราะไม่มีสัตว์ขนาดใหญ่สามารถ survive ในภูมิอากาศแบบนี้ได้

เรานั่งเพลินๆ ฟังไกด์อธิบายไปเรื่อยๆ ก็ถึงพระเอกของเที่ยวบินครั้งนี้ นั่นคือธารน้ำแข็ง Kahiltna ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในอุทยาน Denali เท่านั้น แต่มันยังเป็นธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในอลาสก้าด้วยความยาว 44 miles

Kahiltna Glacier

ถ้าคุณสังเกตดีๆ ธารน้ำแข็งก็เปรียบเสมือนปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง ซึ่งปลาหมึกตัวนี้มีขนาดหนึ่งล้านเอเคอร์หรือคือใหญ่เป็น 1 ใน  6 ของอุทยานแห่งชาติ Denali เลยทีเดียว ที่เห็นธารน้ำแข็งไหลออกมาจากช่องเขา แต่ละช่อง นั่นคือท่อขนส่งน้ำแข็งขนาดหลายแสนตัน คอยเติมลงแม่น้ำสายกลางอย่างต่อเนื่อง ไม่นาน Tim ก็พาเรามาถึง glacier landing site…

Glacier Landing Site

Tim  พาเราขับวนอยู่สองรอบ นางจึงประกาศบอกเราทั้งหมดว่า เนื่องจากวันนี้อากาศยังไม่ดี ฟ้าไม่เปิด ถึงแม้ว่าเค้าสามารถเอาเครื่องลงได้ แต่เค้าไม่มั่นใจความปลอดภัยขาขึ้น ดังนั้นเค้าจึงตัดสินใจไม่ลงจอดบนธารน้ำแข็งให้เราในเที่ยวบินนี้…

เสียใจสิครัช รอไร…

Tim พาเราบินวนรอบเขาโน้นเขานี้ ขออภัยจริงๆ จำชื่อไม่ได้แล้ว 5555 ซักพักก็พาเรามุ่งหน้ากลับ Talkeetna ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่น่าจดจำ แม้ว่าเราจะเสียใจมากกับการที่เราไม่ได้ land บนธารน้ำแข็งก็เถอะ อย่างน้อย เราก็ได้เงินคืนบางส่วนละกัน

 

Fly Over Denali

  • Company: K2 Aviation
  • Tour Denali Flyer with Glacier Landing: $345.29
  • Rating: (หักดาวไปเพราะไม่ได้ land บน glacier)
  • Link: https://www.flyk2.com/

เราออกจาก Talkeetna มุ่งหน้าสู่ Denali National Park ซึ่งจาก K2 Aviation ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เส้นทางระหว่าง Talkeetna ถึง Denali ถือเป็นเส้นทางที่สวยอันดับต้นๆ ที่เราขับ roadtrip มาเลยก็ว่าได้ เพราะคุณจะเห็นเทือกเขาหิมะเป็นฉากหลัง ประกอบกับต้น fireweed สีชมพูที่ขึ้นมาตลอดข้างทาง ทำให้ Landscape หน้าร้อนของ Alaska สวยดั่งภาพวาดจริมๆ

 

วิวระหว่างทาง สวยเหมือนภาพวาด เห็นเทือก Denali อยู่ไกลๆ
ถนนที่อลาสก้า ห่วยอย่างไม่น่าเชื่อ 555 ปะผุตลอดทางค่าาา
ระวังกวางข้ามถนน!

นั่งชมวิวไปซักพัก เราก็ถึง Riley Creek Campground ซึ่งเป็น campsite ที่ขนาดใหญ่มว๊ากกก สามารถจอดรถ RV ได้ถึง 147 คัน Location ก็เริ่ด เพราะอยู่หน้าปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติ Denali เลยค่ะ โดยเราจะค้างกันที่นี่ 2 คืน

ช่องจอดรถค่อนข้าง private มาเลยค่ะ ไม่ติดกับรถคันอื่นๆ
หลังจากได้ช่องจอดแล้ว เราจะต้องเอาป้ายไปแขวนไว้ที่เสา เพื่อเป็นการจองช่องจอดเอาไว้

Campsite ที่นี่เป็นแบบ Back-in หมายถึงถอยเข้าซองจอด ประมาณนั้น โดย slot ที่นี่เป็นแบบ First come First serve ยิ่งมาเร็ว ก็ได้ที่จอดใกล้ main facility (shower, laundry, shops, etc.) เรามาถึงก็เย็นๆ แล้ว ได้ slot จอดค่อนข้างไกล เวลาเดินไปอาบน้ำนี่ แอบเมื่อยอยู่เหมือนกัน 

สถานที่ปิคนิคหลังที่จอดรถ ทานอาหารท่ามกลางธรรมชาติ 555
Let there be fire!!!

ข้อดีของ campsite ที่นี่คือ slot แต่ละช่อง มีความเป็นส่วนตัวมาก มี bench ให้ มีที่ก่อแคมป์ไฟให้ และที่สำคัญคือราคาถูก ส่วนข้อเสียที่สำคัญคือ campsite ที่นี่เป็นแบบ dry คือไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีท่อระบายน้ำเสีย นั่นหมายความว่า เราจะต้องพึ่งน้ำจาก storage ของเราและต้องปั่นไฟใช้เอง โดยทาง campsite มีนโยบายอีกว่าให้ปั่นได้ถึงแค่ 2 ทุ่ม เราจึงต้องรีบทำกับข้าวกันให้เรียบร้อย เพราะเมื่อไม่ได้ปั่นไฟแล้ว พวกไมโครเวฟจะใช้ไม่ได้นั่นเอง ข้อเสียอีกข้อหนึ่งคือ wifi มันมีแค่ตรง  main facility เท่าน้านนนน วันนี้ก็เลยต้องใช้สัญญาณ 4G, 3G กันไปตามระเบียบ มาดูกันซิ๊ว่า อาหารวันนี้มีอะไรบ้าง…

วันนี้เมนูแอบไฮโซเล็กน้อย เพราะมี King crab มาประดับโต๊ะ

Riley Creek Campground

ใกล้ๆ กับ campsite ของเรา มีสถานที่เดินเล่นถ่ายรูปสวยๆ ริมแม่น้ำ Nenana river ซึ่งเป็นแม่น้ำที่เกิดจาก Nenana Glacier ยาวประมาณ 140 ไมล์ พาดผ่ากลางอลาสก้า  

สะพานข้ามแม่น้ำ Nenana
อันนี้คาดว่าเป็นรีสอร์ทริมแม่น้ำ
อันนี้เก๊าเอง 555

คืนนี้ เรานอนหลับสบายกันที่ Riley Creek Campground ก่อนที่พรุ่งนี้ เราจะเดินทางเข้าไปยัง Denali National Park อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอเมริกา ที่ตั้งของ Mt. Denali (aka. Mt. McKinley) ที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดใน north america!

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

Amy Yu

สะใภ้จีนที่รักการท่องเที่ยวและการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าไม่ได้ทำงาน ซึ่งจริงๆแล้ว "ผิดถนัดค่ะ" ยังทำงานประจำอยู่นะคะ เป็นสาววิศวะไอที มีการงานทำค่ะ ประเทศที่ไปแล้วชอบมากเป็นอันดับหนึ่งคือ Iceland ส่วนประเทศที่ไปแล้วไปอีกเพราะสนุกดีคือ อินเดีย ประเทศที่ยังไม่ได้ไปแต่อยากไปมว๊ากกก คือ เคนย่า (หาเพื่อนไปยากมาก T.T) ใครเป็นสายท่องเที่ยว เชิญมาเมาท์มอยหอยสังข์กันได้นะคะ เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่จริงใจค่ะ :) กริรกริ

Recommended Articles

This error message is only visible to WordPress admins

Error: No feed found.

Please go to the Instagram Feed settings page to create a feed.