“F aroe Islands” พอพูดชื่อนี้ มีแต่คนถามว่า “มันอยู่ที่ใด” คำตอบง่ายๆ ก็คือ มันเป็นหมู่เกาะที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Iceland กะ Norway นั่นแหละ… เหตุผลที่เราเลือกไปที่นี่เพราะเห็นว่า เหยยยย landscape ที่นี่แม่มโคตรเท่ห์ เก๋ไก๋สไลเดอร์มาก เป็นอีกที่ที่ดูต่างดาวมาก แถมมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร…
Faroes Islands ที่ลึกลับแห่งนี้ นับได้ว่าเป็นปริศนาจิ๊กซอว์ 18 ชิ้นที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นอันตระการตาของมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือตั้งแต่สมัยโบราณมายันยุคปัจจุบัน เพราะเกาะนี้เกิดขึ้นมาจากภู
อันนี้บอกเลยว่าเป็นความเห็นส่
1. Iceland มันเอาท์ไปแล้วค่าาา เพราะถ้าดูดีๆ ตอนนี้มีนักท่องเที่
2. Faroe Islands มี landscape ที่โด่ดเด่นและไม่เหมือนใคร อย่างที่บอกไป มันเป็นที่ตั้งของภู
3. แม้ว่าธรรมชาติที่นี่จะไม่
4. Faroe islands เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มี hiking trail หลาย trail ที่ติดอันดับสวยงามหลุดโลกอีกที่หนึ่ง และการที่จะได้วิวที่ว้าวๆ คุณไม่จำเป็นต้องเดิ
5. Faroe islands เป็นอีกหนึ่งประเทศที่คุ
พอจิ้ม destination ได้ปั๊บเราก้อทำการจองตั๋ว โดยเราเลือกไป Faroe Islands ในช่วงสงกรานต์ (ปี 2019) ด้วยเหตุผลเดิมๆ นั่นคือ ใช้วันลาหยุดน้อยนั่นเอง 5555 แม้ว่ามันจะไม่ใช่เวลาไปเยือนที่ดีที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะแย่ มาดูกันดีกว่าว่าที่นี่มีอะไรเที่ยวบ้าง
การเที่ยวบน Faroe Islands จะเป็นแนว Hiking ซะเป็นส่วนใหญ่ เราแพลนไว้ว่าจะใช้เวลาบนเกาะทั้งหมด 6 วัน 5 คืน แล้วเราไปเที่ยว Denmark ต่ออีก 4 วัน จะได้ครบเครื่อง ทั้งธรรมชาติและเมือง แต่บทความนี่จะพูดถึงในส่วนของ Faroe Islands เท่านั้นนะคะ
แผนการเที่ยวบนเกาะคร่าวๆ คือดังนี้
Day 1: Bangkok > Copenhagen (transit แบบเข้าไป shopping ซื้อของเล็กน้อย เพราะ transit นาน) > Faroe Islands
Day 2: Vága Island*
Day 3: Kalsoy Island*
Day 4: Golden Circle – Saksun, Eiði, Tjørnuvík, Gjógv, Funningur
Day 5: Viðoy island*
Day 6: Tórshavn, Kirkjubøur > Copenhagen
* เป็นเกาะที่เราแพลนว่าจะไป Hiking กัน
ที่เราบอกว่าช่วงสงกรานต์ไม่ใช่ช่วงที่ดีที่สุด นั่นเพราะว่ามันเร็วเกินไปที่จะได้เห็นนก puffin ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ เราอุตส่าห์โทรไปถามเค้า เค้าบอกว่า you are too early! เราก็เลยเศร้าไปแพร็บ นอกจากนั้น มันยังเป็นช่งฤดูหนาวต่อฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นทุ่งหญ้าส่วนใหญ่จะยังเป็นสีเหลืองแห้งอยู่ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องวันลาอย่างเรา แนะนำว่าให้ไปช่วง summer หรือหลังเดือน 5 เป็นต้นไปจนถึงเดือน 9 นะคะ เพราะทุ่งหญ้าจะเป็นสีเขียว และนก puffin จะขึ้นเกาะมาวางไข่นั่นเอง โดยจะสามารถเห็น puffin ได้บนเกาะ Mykines ซึ่งทริปนีเราจึงข้ามการเดินทางไปเกาะนี้ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ มาในช่วง Summer เราก็แนะนำว่าเพิ่มอีกวันนึงเพื่อไปยังเกาะ Mykines ดูนก Puffin ก็จะกำลังพอดีค่ะ
สำหรับแพลนท่องเที่ยวบนเกาะนี้ แพลนง่ายมากค่ะ เพราะมันเป็นเกาะเล็กๆ จากขวาสุดไปใต้สุดหรือบนสุดมาล่างสุด ใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าคุณมีเวลาเที่ยวบนเกาะน้อยกว่า 5 วัน แนะนำว่าให้นอนอยู่ที่เมือง Tórshavn ที่เป็นเมืองหลวงเลย แล้วขับรถไปเที่ยวเป็นรูปดาวแทน แต่ถ้าใครอยู่นานเกิน 5 วัน การขับเปลี่ยนเมืองนอนไปเรื่องๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย มาดูกันดีกว่ามาไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่ไหนบ้าง
Day1: Arrival
วันแรกที่เราถึงที่เกาะ หลังจากได้รถเช่าแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังเมือง Tórshavn ที่เราจองบ้านพักเอาไว้จาก airbnb ระหว่างทางจากสนามบินเข้าเมือง Tórshavn จะผ่าน Bonus supermarket สาขานึง เราก็ทำการแวะซื้ออาหารสด ขนม และเครื่องดื่มตามแต่ใจชอบ ตุนไว้สำหรับทำอาหารและเสบียงไปทางเป็นอาหารกลางวันของแต่ละวัน พอถึงบ้าน เราก็สำรวจบ้าน จัดการ unpack และทำอาหารเย็นกินกันที่บ้านเลย กว่าจะได้เข้านอนก็ปาไป 3-4 ทุ่มพอดี
Day2: Vága Island
เกาะนี้เป็นเกาะที่ตั้งของสนามบินและยังเป็นที่ตั้งของน้ำตกที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะนี้อีกด้วย
Múlafossur Waterfall
- พิกัด: Google map
- Rating:
Bøur Village
- พิกัด: Google map
- Rating:
Bøur เป็นหมู่บ้านในหมู่เกาะ Faroe ที่เก่าแก่ มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 65 คน หมู่บ้านโดดเด่นด้วยบ้านที่สร้างขึ้นจากหลังคาหญ้า มีภูเขาเป็นฉากด้านหลัง และมุมมองด้านหน้าที่ไม่เหมือนใคร เพราะหน้าบ้านที่มองออกนอกทะเล คุณจะพบกับหินรูปทรงประหลาดหลุดโลกหลายก้อนมากๆ ได้แก่ Drangarnir หรือ Tindhólmur ดังนั้น ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวระหว่างทางค่ะ
The Nix
- พิกัด: Google map
- Rating:
The Nix เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบ Sørvágsvatn สามารถแปลงร่างเป็นหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่มักจะหลอกมนุษย์ให้ตามมันลงไปในน้ำ สิ่งเดียวที่จะช่วย คือการเรียกชื่อมันให้ถูกต้อง
วันหนึ่งเมื่อเด็ก ๆ จาก Sørvágur ลงไปที่ทะเลสาบเพื่อเล่นกัน เด็กๆ ก็ได้เจอกับม้าที่สวยงาม เด็กโตคนกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า ทันใดนั้นเอง ม้าก้อได้ออกวิ่งลงไปยังทะเลสาบ ส่วนน้องเด็กอีกคนที่ตัวเล็กเกินกว่าจะกระโดดขึ้นไปนั้น มีความรู้สึกอิจฉาคนพี่ เขาจึงตะโกนให้ ”นิค” พี่ชายของเขาที่อยู่บนหลังม้าให้รอเค้าด้วย แต่ด้วยความที่ว่า นางยังเด็ก เรียกชื่อพี่ชายตัวเองไม่ชัดจึงได้ออกเสียงเป็น Nix ดังนั้นเอง ม้าที่แปลงกลายมา ได้ยินชื่อตัวเอง ก็ได้แปลงกลายกลับมาเป็นรูปร่างเดิม และกระโจนลงไปในทะเลสาบดังเดิม เด็กทั้งสองคนจึงไม่ได้ถูก Nix ลากลงน้ำไปกินตับ รอดไปได้อย่างหวุดหวิด 555
Trøllkonufingur (Witches Finger)
- พิกัด: Google map
- Hiking Distance: 300-400 เมตร
- Difficulty: Easy
- Rating:
Trøllkonufingur เป็นเสาหินที่ประหลาดและโดเด่น อยู่ดีๆ ก็งอดอยู่จากทะเล ที่ชายฝั่ง Vágar มาซะงั้น จุดชมวิวแห่งนี้สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย ที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ Vágar คนแฟโรห์ตั้งชื่อเสาหินนี้ว่า Trøllkonufingur ซึ่งหมายถึงนิ้วของแม่มด จากตำนวนกล่าวไว้ว่า มีแม่มดอยู่ตนนึง กำลังจะโยนหมู่เกาะแฟโรไปยังไอซ์แลนด์ ขณะนั้นเอง เมื่อแม่มดกำลังเข้าใกล้เกาะ Vágar พระอาทิตย์ก็ขึ้นมาพอดี เมื่อแม่มดเจอแสงอาทิตย์ นางจึงกลับกลายเป็นหิน ตกลงไปในน้ำและจมลงสู่ก้นมหาสมุทร พร้อมกับแขนข้างหนึ่งพยายามยื่นมือจับเกาะ Vágar และด้วยความที่ตัวแม่มดใหญ่มาก ทำให้นิ้วชี้ของนางและด้านหลังศีรษะยังคงอยู่เหนือพื้นผิว คนก็เล่ากันว่าส่วนนิ้วของแม่มดคือ Trøllkonufingur และส่วนหัวเหมือนเกาะ Koltur เป็นเช่นนี้นี่เอง
การเดินทางไปจุดชมวิวที่นี่ไม่ไกลมากและหาไม่ยาก ตามป้ายบอกทาง Trøllkonufingur มาเลยจากถนนสายหลัก เมื่อคุณผ่าน Sandavágur ถนนจะแคบและขรุขระเล็กน้อย หากคุณไม่ต้องการขับรถบนถนนแคบ ๆ คุณสามารถจอดรถไว้แล้วเดินไปที่จุดชมวิวแทน ระยะทางจากสุดสิ้นสุดถนน เดินต่อไปอีกสองสามร้อยเมตรจะผ่านสะพานข้ามน้ำตกเล็กๆ นั่นแปลว่าคุณเดินใกล้ถึงจุดชมวิวแล้ว
Sørvágsvatn & Trælanípa
- พิกัด: Google map
- Hiking Distance: 3 km (one way)
- Difficulty: Easy
- Rating:
ที่นี่เป็น Iconic อีกที่หนึ่งของหมู่เกาะ Faroe เราเริ่ม Hiking ที่ trail นี้เป็น trail แรก trail นี้ไปสิ้นสุดที่ จุดชมวิวที่มีชื่อว่า Trælanípa ซึ่งแปลว่า Slave’s rock เป็นเส้นทางเดินที่ขนานไปกับทะเลสาบ Sørvágsvatn โดยปลายของทะเลสาบแห่งนี้จะมาบรรจบกับมหาสมุทรแอตแลนติกนั่นเอง
จุดเด่นของ Landscape นี้เห็นจะเป็นทะเลสาบที่แลดูว่ามันอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ถ่ายรูปออกมา จึงเห็นเป็นภาพหลอกตา เหมือนภูเขาเป็นจาน มีน้ำอยู่ข้างในจานและลอยอยู่บนมหาสมุทรยังไงยังงั้นเลย เป็น Landscape ที่แปลกตาหาดูได้ยากอีกแห่งบนโลกจริงๆ ซึ่งจริงๆ แล้วทะเลสาบที่เห็นนี้อยู่นี้ สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้นเอง
พอหันไปอีกข้าง คุณก็จะเจอหน้าผาที่ดูเหมือนมันถูกตัดแนวดิ่งสูงเป็นร้อยเมตร ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Slave’s rock โดยเมื่อย้อนเวลากลับไปยุคไวกิ้ง เพื่อลงโทษทาสที่ไม่เชื่อฟัง พวกไวกิ้งจะทำการผลักพวกเขาออกจากหน้าผาสูง 142 เมตร (466 ฟุต) ไปสู่ความตายในมหาสมุทร นับว่าเป็นการลงโทษที่โหดสลัดมากครัช บอกเลอ ขนาดเราเวลาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อถ่ายรูป ยังต้องนอนคลานเข้าไปเลยครัช 555 เด๋วหัวใจวาย
Hiking Trail นี้เป็น trail ที่เข้าถึงง่าย คุณสามารถจอดรถที่ลานจอดเล็กๆ ที่นี่ ตรงนั้นจะมี gate เดินตรงเข้าไปตาม trail เรื่อยๆ ประมาณ 3 กิโล จะถึงตรงหน้าผา Trælanípa เส้นทางเดินค่อนข้างง่าย แต่จะมีบริเวณแฉะๆ เป็นระยะๆ พอไปถึงตรงสิ้นสุดจะเป็นหน้าผาชัน เดินขึ้นไปข้างบนนี่หอบแฮ่กเหมือนกัน แต่วิวนี่คุ้มมาก รวมแล้วไปกลับถ่ายรูปก็ประมาณ 2 ชั่วโมง
Day3: Kalsoy Island + Klasvik
เกาะ kalsoy ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักกันในนามเกาะ Kallur Lighthouse เป็นอีกแห่งหนึ่งใน Faroe islands ที่มี Landscape หลุดโลก นอกจากนั้น ยังมีรูปปั้นแมวน้ำกลายร่าง “Selkie” ที่ตั้งอยู่ในเมือง Mikladalur บนเกาะแห่งนี้อีกด้วย เกาะนี้มีรูปร่างยาวและผอม อยู่ระหว่างเกาะ Kunoy และ Eysturoy คำว่า “Kalsoy” หมายถึงเกาะมนุษย์ แต่เราเรียกกันว่า “เกาะข้าวซอย” สนุกปากใหญ่ 555
เกาะ Kalsoy แห่งนี้ ไม่มีสะพานหรืออุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมต่อ Kalsoy ไปยังเกาะอื่น ดังนั้นการจะข้ามไป คุณจะต้องนั่งเรือ ferry จากเมือง Klasvik ไป สำหรับที่ตั้งของท่าเรือ Ferry เมือง Klasvik อยู่ที่นี่
เช้าตรู่เราออกจากที่พักขับรถไปยังเกาะ Klaksvík เพื่อไปขึ้นที่ Ferry ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เราก็มาเทียบท่า Syðradalur บนเกาะ Kalsoy สำหรับตารางการเดินเรือแต่ละวันจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นให้เชคตารางก่อนไปด้วยนะคะ พอไปถึงเค้าจะมีเลนให้เราขับรถไปจอดเพื่อรอขึ้นเรือ การจ่ายค่าโดยสาร จะทำการจ่ายตอนขับรถขึ้นเรือ โดยจะคิดค่ารถ+คนขับ 160 DKK และคนนั่งคนละ 40 DKK โดยราคานี้จะเป็นราคาตั๋วไป-กลับ
ขึ้นเกาะมาแล้ว ดูเหมือนว่ารถทุกคนจะมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน จุดมุ่งหมายเดียวกัน (แน่นอนเพราะมันมีถนนเส้นเดียว 555) โดยอุโมงค์บนเกาะนั้นจะเป็นแบบเลนเดียว ใช้วิธีขับหลบตรงช่องที่เว้นให้เวลารถสวนมา โดยสามารถดูป้ายหน้าทางเข้าอุโมงค์จากลูกศรว่า ใครควรจะต้องเป็นคนหลบ อย่างเช่นภาพข้างล่าง ฝั่งเราเป็นฝั่งของเส้นสีขาว (ขับชิดขวา) ดังนั้นเราสามารถขับได้ตรงๆ ยาวๆ ไม่ต้องหลบ ส่วนรถที่เข้ามาทิศทางที่เป็นลูกศรสีแดง จะต้องคอยดูว่ามีรถสวนมามั้ย ถ้ามีจะต้องกะระยะเข้าช่องหลบให้พอดี และในขณะที่จอดรอรถฝั่งตรงข้ามสวนไป ต้องปิดไฟหน้าด้วย นี่เป็นกฎการขับรถในอุโมงค์ขนาดเล็กของที่นี่ จุดหมายปลายทางหลักของเราและคนอื่นๆ ที่ขึ้นเรือมาพร้อมกัน แน่นอนอยู่ที่ Kallur Lighthouse
Kallur Lighthouse
- พิกัด: Google map
- Hiking Distance: 1-2 km (one way)
- Difficulty: Moderate
- Rating:
หนึ่งในจุดตั้งประภาคารที่สวยที่สุดบนหมู่เกาะ Faroe และของโลก Hiking Trail นี้เป็น trail ที่เดินยากขึ้นมาหน่อย ถ้าคนไม่ค่อยฟิตก็มีหอบกันบ้าง แต่ไม่ได้ยากเกินความพยายาม เห็นฝรั่งนี่เดินกันชิวๆ เรานี่เดินๆ หอบๆ สลับหยุดนิ่ง 555 เดินไปพักไปตลอดทาง เพราะเป็นทางขึ้นเขาตลอด สภาพทางเดินก็เป็นทางหญ้าสลับทางโคลน ดังนั้น ใครทรงตัวไม่แข็ง ใช้ walking pole ช่วยเดินก็ดี
เดินขึ้นมาแป๊บๆ โอ้วววว วิวนี่สุดยอดมาก เป็นอีก trail นึง ที่เดินไปหยุดไปบ่อยมาก เพราะเหนื่อย! เอ้ยย…ไม่ใช่! เพราะวิวมันตระการตาหลักล้าน เดินไปถ่ายรูปไป ผ่านมาไม่นานเราก็เดินมาถึงสันเขาที่เป็นภาพ signature ของที่นี่ โดยอีกข้างจะเป็นหน้าผาลงไปเลย ความรู้สึกที่เดินพ้นสันเขาแล้วเห็นวิวอันตระการตา มองไปไกลๆ เห็นเป็นภาพทะเลสลับกับสันเขารูปทรงต่างดาว ทำให้เราอึ้งไปหลายวิ หายเหนื่อยไปเลย สมแล้วที่เป็นที่ตั้งประภาคารที่ติดอันดับสวยที่สุดในโลก
การเดินทางมา คุณขับรถตรงขึ้นมาจุดเหนือสุดของเกาะ Kalsoy เลย ที่จอดรถจะอยู่ติดกับห้องน้ำ ให้ทำธุระให้เสร็จนะคะ ระหว่างทางไม่มีห้องน้ำค่ะ หลบหลังโขดหินโล้ด 555
Kópakonan
- พิกัด: Google map
- Rating:
อีกจุดเที่ยวหนึ่งบนเกาะ Kalsoy ที่เข้าถึงง่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่เกาะแฟโร ที่กล่าวถึงแมวน้ำที่เชื่อว่าเดิมเคยเป็นมนุษย์ที่แสวงหาความตายในทะเล และทุกๆ คืนวันที่ 13 ของเดือน แมวน้ำเหล่านี้จะขึ้นมาจากทะเล ทำการลอกเอาผิวหนังที่เป็นแมวน้ำออก กลับกลายเป็นมนุษย์ เพื่อมาเต้นรำ และก่อนรุ่งสางก็จะใส่ชุดแมวน้ำกลับลงทะเลไปใหม่ เรื่องราวยังไม่หมดแค่นี้ แต่มันค่อนข้างยาว ใครสนใจไปอ่านเองต่อได้ที่นี่ สนุกดีเหมือนกัน
Klaksvík
เมือง Klasvik เป็นเมืองท่าอุตสาหกรรมการประมงที่ทำคัญของประเทศนี้ ทั้งยังใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองหลวง และเป็นจุดที่มีความเจริญสุดท้ายก่อนจะข้ามเกาะ Vidoy อีกเกาะที่ดูแลจะบ้านนอก ไม่น่ามี Supermarket ใดๆ อีก
Town Hall Eysturkommuna
- พิกัด: Google map
- Rating:
Town Hall แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เมือง Nordragota ขากลับบ้าน เราแวะไปดูนิดหน่อย เพราะตึกที่นี่รูปทรงสวยดี เป็นสภาปัตยกรรมแบบ Nordic โดยแท้ ออกแบบโดย Henning Larsen ซึ่งเป็นสถาปนิกชื่อดังที่อยู่เบื้องหลังคอนเสิร์ต Harpa ที่ได้รับรางวัล Harpa ใน Reykjavik
Day 4: Golden Circle – Saksun, Tjørnuvík, Gjógv
สำหรับการเที่ยว Golden Circle นี้ ก็เป็นวันชิลๆ ของเรา ออกแนวขับรถเที่ยวไปเรื่อย หยุดถ่ายรูปตามทางบ้าง อะไรบ้าง ช่ายแล้วค่ะ วันนี้ เราจะขับรถเที่ยวส่วนเหนือของเกาะ Streymoy และเกาะ Eysturoy กันค่ะ
เนื่องจากเราพักจากเมืองหลวง Tórshavn เราจึงเริ่มเดินทางแต่เช้าจากบ้าน มุ่งหน้าขึ้นเหนือ โดยระยะทางจาก Tórshavn ถึง Saksun ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง ระหว่างทางก็มีจุดสวยๆ ให้ถ่ายรูปเต็มไปหมดเลยค่ะ
บนถนนสาย Oyggjarvegur จะมีทางแยกไปยังหมู่บ้าน Norðradalur โดยตรงทางแยกจะเป็นเนินเขาสูง มองตรงออกไปจะเห็นหมูู่บ้านอยู่เบื้องหน้า ฉากหลังเป็นทะเลและภูเขาไฟเก๋ๆ อยู่ลูกนึง สวยงามมากค่ะ แวะไปถ่ายรูปกันได้นะคะ
อีกจุดนึงที่ควรแวะคือ จุดชมวิวของอ่าว Kaldbaksbotnur จุดนี้เอง เราเห็นครั้งแรกนี่ ถึงกับอ้าปากว้าง เพราะมันดูต่างดาวจริงๆ คือถ้ามีมังกรโผล่มาข้างหลังก็คงไม่แปลก 555
Saksun
- พิกัด: Google map (Parking Lot)
- Rating:
Saksun เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา โอบล้อมไปด้วยภูเขาสูง เบื้องหน้าเป็นอ่าวรูปวงกลม มีช่องเขาเล็กๆ เปิดไปสู่สหามุทรอันกว้างใหญ่ โดดเด่นด้วยหาดทรายดำ ห่างไกลผู้คน แต่จนแล้วจนรอด ก็หนีไม่พ้นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกรวมถึงเราด้วย เพราะมันสวยจริงๆ เราได้ข่าวว่า คนในหมู่บ้านนี้ ไม่ค่อยยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราซักเท่าไหร่ เคยอ่านบาง blog บอกว่า คนในหมู่บ้านบางคน ถึงขั้นยิงปืนขึ้นฟ้าไล่นักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว เหยยย เป็นยังไง ไปดูกัน!!!
การจะเข้าไปที่หมู่บ้านนี้ มีเส้นทางเส้นเดียว และเป็นเลนเดียวถ้วน ถ้ารถจะสวนกันก็ต้องใช้จุดที่มีไหล่ทาง ที่เค้าเว้นเป็นช่องเล็กๆ ไห้หลบกันอย่างเสียวกระจกข้างเล่นๆ 555 แต่ขณะที่เราขับเข้าไป มีรถสวนออกมาแค่ 1 คันถ้วน ขับสบายๆ ชิลๆ
ขับไปจนเกือบสุดทาง จะมีที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว อ๊ะ แอบมีคนถึงก่อนเราอีกแหนะ 1 คัน แต่พอเราจอด ก็มีนักท่องเที่ยวคันอื่นๆ ตามมาอีก 2-3 กลุ่ม โอ้ววว ยิ่งสายยิ่งคึกคักนะเนี่ยะ ในหมู่บ้านจะมีโบสถ์สีขาวอยู่แห่งนึง Saksunar Kirkja เป็นโบสถ์ที่ค่อนข้างเก่า สร้างมาตั้งแต่ปี 2401 หันหน้าเข้าหาลากูนที่มีชายหาดเป็นสีดำ ซึ่งสามารถลงไปเดินเล่นได้
หลังจกจอดรถที่ parking lot เราเดินตามทางขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เห็นป้ายติดตัวใหญ่เลยว่า private property เราแอบชำเลืองมองคุณลุงที่ออกมาทำความสะอาดรถกระบะ ส่งสายตาว่าขอเดินขึ้นไปได้มั้ย เค้าดูไม่ว่าอะไร เลยเดินเข้าไป จะเห็นบ้านที่หลังคาบุด้วยหญ้า 3-4 หลัง ตั้งอยู่บนเนิน หันหน้าเข้าลากูน คือเป็นภาพที่สวยมาก
อีกจุดหนึ่งที่ดูเป็น signature ของที่นี่คือบ้านหลังเล็กที่อยู่ลงเขาเข้าไป ปลูกติดๆ lagoon เบื้องหน้าจะเห็นเป็นช่องเขาที่น้ำไหลออกไปสู่มหาสมุทรพอดี แต่ระหว่างเราและบ้านหลังนั้นมีรั้วกั้นอยู่ เราไปอ่านใน internet พบว่า เจ้าของบ้านที่เป็นเจ้าของทางลงไปที่บ้านหลังนั้น คงเบื่อนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินผ่านบริเวณบ้านของตัวเอง และต้องการความเป็นส่วนตัว จึงล้อมรั้วทางเข้าเอาไว้เลย เราก็อดไปตามระเบียบสิคะ
ไม่น่าเชื่อว่า หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีประชากรแค่ 15 คน จะมี landscape ที่น่าทึ่งแบบนี้!!! เอาเป็นว่าหมู่บ้าน saksun แห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีวิวที่เราประทับใจมากที่สุดของหมู่เกาะ Faroe เลย
Fossá Waterfall
- พิกัด: Google map
- Rating:
Tjørnuvík
- พิกัด: Google map (Parking Space)
- Rating:
จาก Saksun เราค่อยๆเดินขึ้นไปตามชายฝั่งจนถึงด้านบนสุด จนถึงหมู่บ้าน Tjørnuvik เป็นอีกเมืองที่ซ่อนเร้นกายอยู่ในช่องเขาที่เว้าเข้าไปเป็นอ่าว มีชายหาดสีดำทอดตัวยาวจากเขาลุกนึงไปยังเขาอีกด้าน วิวเบื้องหน้านี่สุดติ่งจริงๆ เพราะมันเป็นภูเขารูปทรงเก๋ไก๋สไลเดอร์
จริงๆ สิ่งที่เราชอบมากที่สุดในหมู่บ้าน Tjørnuvik แห่งนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกาะ Streymoy เลย หากแต่จากหมู่บ้านนี้ เราสามารถชมทิวทัศน์ของ Risin og Kellingin ของ Eysturoy ได้ในภาพ panorama ได้อย่างชัดเจน Risin og Kellingin จริงๆ แล้วเป็น sea stacks ที่อยู่ชายฝั่งทางเหนือ ใกล้กับหมู่บ้าน Eiði ของเกาะ Eysturoy คำว่า Risin og Kellingin แปลตรงตัวก็คือ ‘The Giant and the Witch’ โดยยักษ์หรือ Risin มีความสูง 71 เมตรและตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งเล็กน้อยในขณะที่แม่มดหรือ Kellingin อยู่ใกล้กับพื้นดินและมีความสูง 68 เมตร
ดูเหมือนว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกของวันที่มาถึงเมืองนี้ หมู่บ้านที่นี่เงียบๆ มีคุณยายแก่ๆ คนนึงออกมาเช็ดกระจกนอกบ้าน นางเห็นก็ยิ้มๆ ให้เรา ท่าทางเป็นมิตรเชียว เราทำการปิคนิคกันที่นี่เลย จัดการหยิบอาหารที่เตรียมตอนเช้า ทั้งหมูแดดเดียว เนื้อแดดเดียว ไข่เจียว ไส้กรอก และก็ไม่พ้นมาม่าคนละกล่อง (แอบพกกาน้ำร้อนมาจากบ้านด้วย) นั่งชมหาดทรายสีดำเบื้องหน้า พร้อมกับคลื่นเอื่อยๆ ที่ซัดเข้าหาฝั่ง background เป็นภูเขาเล็กใหญ่ รู้สึกชิลมากอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
Eiði
- พิกัด: Google map (Old Football Pitch)
- Rating:
คล้อยบ่าย เราออกเดินทางไป เมืองเล็กๆ อีกเมืองหนึ่งชื่อเมือง Eiði เมืองนี้ดูเหมือนจะเป็นอีกเมืองเล็กๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่จุดประสงค์ที่เรามาเมืองนี้ เพราะสนามฟุตบอลต่างหาก!
รู้หรือไม่ว่า บนหมู่เกาะ Faroe แห่งนี้ มีประชากรทั้งหมดไม่ถึง 5 หมื่นคน แต่เค้ามี National football team ด้วยนะเฮ้ย~~~~ และที่สำคัญ มีสนามฟุตบอลถึงสองแห่งที่ติดอันดับสนามฟุตบอลที่สวยงามและพิเศษที่สุดของโลก และหนึ่งในสองก็อยู่ที่หมู่บ้าน Eiði แห่งนี้ สนามนี้ สร้างเสร็จในปี 2017 เป็นสนามของทีมท้องถิ่น EB / Streymur ใช้ในการฝึกซ้อมและเล่นในบ้านของพวกเขานั่นเอง วันนี้เรามาเยือนหมู่บ้าน Eiði ก็ไม่พลาดที่จะแวะมาดูสนามแห่งนี้ สวยสมคำล่ำลือจริงๆ
Gjogv
- พิกัด: Google map
- Rating:
ระหว่างทางไป Gjogv จะผ่านเมือง Funningur ซึ่งเป็นหมู่บ้านไวกิ้งแรกในหมู่เกาะแฟโร เส้นทางขับถก็จะคดเคี้ยวเอาซักหน่อย ตอนขึ้นเขา แต่มองลงไปยังหมู่บ้านข้างล่างก็สวยดี
Gjógv อยู่ในหุบเขาถัดไปจากเมือง Funningur ตั้งอยู่บนเกาะ Eysturoy คำว่า Gjógv หมายถึงช่องเขาใน Faroese พอไปถึง คุณจะเข้าใจว่าทำไมหมู่บ้านถึงได้รับชื่อนี้ เพราะเป็นเมืองในหุบเขาที่โอบล้อมไปด้วยไปด้วยทะเลที่สวยงาม พร้อมทิวทัศน์ฝั่งตรงข้ามที่เป็นเกาะ Kalsoy และเกาะอื่น ๆ ในภาคเหนือของหมู่เกาะแฟโรนั่นเอง
ที่นี่จะมีช่องหินแคบๆ แนวยาว ลักษณะเหมือนเป็นท่าเทียบเรือชาวไวกิ้งอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งภาพ signature ของที่นี่เลย
Day5: Viðoy
Viðoy เป็นเกาะเหนือสุดของหมู่เกาะแฟโร ทั้งเกาะมีอยู่เพียง 2 หมู่บ้าน – Viðareiði ทางเหนือและ Hvannasund ไปทางทิศใต้ วันนี้เราจะไป hiking กันที่ Viðareiði ค่ะ
Viðareiði (Vidareidi)
Viðareiði เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่เกาะแฟโรและไม่น่าแปลกใจเมื่อพิจารณาถึงความงามของพื้นที่ Viðareiði เป็นประตูสู่หน้าผา Enniberg อันสูงตระหง่านเพราะมันสูงถึง 750 เมตรตรงขึ้นจากมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เป็นหนึ่งในหน้าผาทะเลที่สูงที่สุดในโลก วันนี้เมฆครึ้มเชียว แต่เห็นหลายคนบอกว่า อากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็เลยตัดสินใจว่า ยังไงก็ Hike แน่นอน
- พิกัด: Google map (Parking lot)
- Hiking Distance: 6 km (one way)
- Difficulty: Moderate
- Rating:
Hiking trail ที่นี่ ถือว่าเป็นทางที่ค่อนข้าง challenge เพราะการปีนยอด Villingadalsfjall นอกจากจะสูงแล้ว ยังชันอีกด้วย แต่วิวด้านบนนั้น ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
จากที่จอดรถ จะมีทางเดินยาวตรงไปยังยอดเขา Villingadalsfjall ทางเดินถนนจะสุดลงที่ gate ซึ่งตอนที่เราไปถึงมันปิดอยู่ แต่ก้อสามารถเปิดออกได้ เพราะมันไม่ได้ล้อคไว้ ต่อจากนี้ เส้นทางจะเป็นดินๆ หญ้าๆ วันนี้ฝนก็ตกๆ หยุดๆ ตลอดเวลา ทำให้พื้นที่เดินทั้งเปียกทั้งแฉะ บางที่เป็นโคลนก็ต้องเดินอ้อมๆ ไปหน่อย เส้นทางการเดิน สามารถตามท่อสีฟ้าไปได้เรื่อยๆ ช่วงแรกทางจะเป็นดินๆ หญ้าๆ ส่วนช่วงหลังจะเริ่มเป็นหิน ถึงแม้ว่า 6 กิโลเมตร ดูเหมือนจะไม่ไกลมาก แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ คุณลองจิตนาการว่าคุณกำลังเดินขึ้นตึกสูงราว 750 เมตรอยู่ แน่นอนว่าสำหรับขาอ่อนอย่างเราแล้ว หอบรับประทานกันเลยค่ะ เดินไปพักไป แต่ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ จะทำให้คุณเห็นภาพ panorama ที่มีหมู่เกาะน้อยใหญ่เรียงรายกันราวกับว่าเป็นภาพวาดเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าทั้ง trail จะมีระยะทาง 6 กิโลเมตร แต่เราเดินกันได้แค่ประมาณครึ่งทางเท่านั้น เพราะขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งฝนทั้งลมเริ่มจะแรง แถมยังทั้งชันทั้งลื่น นอกจากนั้น ส่วนท้ายๆ ของ trail จะชันขนาดแบบต้องปีนหิน ในสภาวะอากาศไม่เอื้อแบบนี้ เราจึงตัดสินใจไม่ไปต่อ…
Viðareiði Kirkja
หลังจาก hiking ลงมาแล้ว เราแวะที่โบสถ์ Viðareiði Kirkja ก่อนกลับ ซึ่งเป็นโบสถ์สีขาวในหมู่บ้าน Viðareiði พอไปถึง อ้าว ได้ข่าวซ่อมอยู่จร้าาา
Day6: Tórshavn, Kirkjubøur
Tórshavn
ด้วยจำนวนประมาณ 17,000 คน ทำให้ Tórshavn เป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในยุโรป สำหรับเราแล้ว เมืองนี้ทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นประเทศสแกนดิเนเวียผสมกับ Iceland
เราใช้ครึ่งวันเช้าของวันสุดท้ายของเราเดินชมท่าเรือเมือง Tórshavn กันค่ะ ลักษณะตึกรามบ้านของริมน้ำของที่นี่ สร้างเป็นตึกแถวสีสันสวยงานคล้ายๆ กับ Nyhavn ในเมือง Copenhagen อันโด่งดัง นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งนึงของโลก โดยสร้างเป็นตึกหลังคาหญ้า สัญลักษณ์สุดเก๋ของบ้านที่ Faroe Islands
บริเวณใกล้ๆ กัน มีร้านขายของ local อยู่ร้านนึง ชื่อร้าน Öström ร้านนี้ตั้งอยู่ในอาคารโรงงานเก่าขายสินค้าที่ได้รับการออกแบบหรือผลิตในหมู่เกาะแฟโร สินค้าด้านในเป็นพวก สินค้า handmade ต่างๆ เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม เสื้อกันหนาวขนสัตว์ โปสเตอร์รวมถึงผลิตภัณฑ์ศิลปะต่างๆ นี่คือสถานที่ที่เหมาะสำหรับซื้อของฝากแบบไฮโซนิดนึงกลับบ้าน เพราะราคานั้นไม่ค่อยเป็นมิตรต่อกระเป๋าตังค์สักเท่าไหร่ 5555
Kirkjubøur
หมู่บ้านสุดท้ายที่เราแวะไปก่อนโบกมือลา Faroe Islands เป็นหมู่บ้านอยู่ล่างสุดของเกาะ Streymoy ห่างจาก Tórshavn ประมาณ 15 นาที มีทิวทัศน์ของเกาะ Hestur และ Koltur ไปทางทิศตะวันตกและไปยัง Sandoy ทางทิศใต้
สิ่งที่ทำให้ Kirkjubøur โดดเด่นมากคือ หมู่บ้านนี้เคยเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประวัติศาสตร์แฟโรมาก่อน หนึ่งในที่เที่ยวสำคัญของหมู่บ้านนี้ ได้แก่ St, Olav’s church ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าที่สุดของ Faroe Islands ที่ยังมีการใช้งานอยู่
จริงๆ แล้วคำว่า Kirkjubøur หมายถึง King’s Farm นั่นหมายถึงที่อยู่อาศัยที่ทำด้วยไม้ ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 11 ในตอนแรกมันถูกใช้เป็นที่ประทับของบาทหลวงของหมู่เกาะแฟโร และถ้าคุณเที่ยว Faroe Islands มาจนถึงวันสุดท้ายนี่ คุณจะรู้ว่าบ้านที่ทำด้วยไม้นี่ เป็นสิ่งที่แพงมาก เพราะบนเกาะ ไม่มีต้นไม้ยืนต้น ดังนั้นไม้จึงเป็นสิ่งมีค่า และบ้านที่ทำด้วยไม้จึงเป็นบ้านที่ราคาแพงมาก และด้วยเหตุที่บ้านในหมู่บ้านนี้ สร้างทำด้วยไม้สีดำทั้หลัง ขอบหน้าต่างสีแดง มีหลังคาเป็นหญ้า ทำให้มันโดดเด่นและ unique กว่าหมู่บ้านอื่นๆ ที่เราเที่ยวมานั่นเอง
เราทำเที่ยวสองที่นี้เสร็จก็มุ่งหน้าไปยัง Airport บนเกาะ Vágar เพื่อนั่งเครื่องบินกลับมายัง Copenhagen กันเป็นการปิดทริปเที่ยวบนหมู่เกาะแฟโรของเรา 4 คนครั้งนี้ค่ะ
สำหรับค่าใช้จ่ายของเราด้านบน เป็นราคาต่อคน ใช้ชีวิตบนเกาะ 6 วัน 5 คืน สำหรับค่าบ้าน อาหาร รถจะเป็นราคาที่หารกัน 4 คนค่ะ โดยคิดแค่เฉพาะส่วนเที่ยวหมู่เกาะ Faroe เท่านั้น ไม่ได้รวมที่เราไปเที่ยว Copenhagen ต่อ สำหรับค่าตั๋วเครื่องบินบางคนอาจจะได้ถูกกว่านี้ถ้าจองช่วงโปรโมชั่น เอาจริงๆ คือเราประหยัดมากจากการทำอาหารเองที่บ้าน ถ้าไปทานอาหารที่ร้านอาหารข้างนอก อย่างต่ำๆ ก็คนละ 120-150 DKK หรือประมาณ 600-800 บาทต่อมื้อ ซึ่งนับว่าแพง ซึ่งข้อดีของการทำอาหารที่บ้านคือ ถูก อร่อยถูกปาก แถมไม่ต้องไปตระเวณหาร้านอาหารในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญอีกด้วย เพราะบางหมู่บ้านที่เราไป ไม่มีร้านอาหารเลยแม้แต่ร้านเดียว การเอาปากท้องไปพึ่งพาร้านอาหารตามเมืองต่างๆ จึงเป็นเรื่องลำบาก
การใช้จ่ายบนเกาะ สามารถใช้ได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต โดนเงินสดนั้นใช้ได้ทั้งสกุลเงิน Faroese króna และ Danish krone คือใช้แทนกัน 1:1 ได้เลย บางทีจ่าย Danish Krone ได้ทอนมาเป็น Farose Krone หรือกลับกันก้อได้ อตราแลกเปลี่ยนใกล้กันมากจึงให้แทนกันได้ 1:1 หากแต่เงิน Faroese krone ไม่สามารถเอาไปใช้ที่ Denmark ได้ ดังนั้นถ้าเงิน Faroese เหลือ ให้คุณทำการแลกเป็น Danish Krone ที่สนามบินก่อนออกประเทศได้เลย ส่วน credit card นี่ใช้ได้ทุกที่ จริงๆ แล้วไม่ต้องแลกเงินสดไปเยอะมากก็ได้
Faroe Islands สามารถเข้าถึงได้ด้วย 2 สายการบิน ได้แก่ SAS (Scandinavia airlines) และ Atlantic Airways โดยบินไปลงเมือง Sorvagar (FAE) ซึ่งมี direct flight จากเมืองใหญ่อย่าง Copenhagen, Bergen, Reykjavik, และอื่นๆ สำหรับเรา จากกรุงเทพเรานั่ง Thai airways ไปลง Copenhagen แล้วจาก Copenhagen นั่ง SAS ไป Faroe Islands อีกที (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง)
GETTING AROUND
ส่วนของการเดินทางรอบเกาะ เห็นแบบนี้ บนเกาะมีรถเมล์ประจำทางนะจ๊ะ แต่ไม่ recommend เท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยสะดวก บางที่ที่เป็น hiking trail ก็ไปไม่ถึง ดังนั้น แนะนำให้เช่ารถขับจะดีกว่า โดยจะขับชิดขวา เกาะส่วนใหญ่จะเชื่อมกันด้
สำหรับการจอดรถ สถานที่บนเกาะจอดฟรีทั้งหมด ทั้ง parking lot ในห้าง ใน supermarket ในหมู่บ้านต่างๆ หรือตามข้างถนน แค่อย่าเข้าไปจอดใน private property ก้อพอ
VISA REQUIREMENT
- ยังไม่มีวีซ่า?
คุณต้องไปทำวีซ่าที่สถานฑูต Denmark โดยต้องบอกเค้าด้
- มี Schengen อยู่แล้ว?
ต้องไปทำอยู่ดี โดยไปทำที่สถานทูต Denmark เหมือนกัน ขั้นตอนและการเตรียมเอกสารเหมื
ACCOMMODATION
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกนะคะ เนื่องจากที่เที่ยวแต่ละที่ไม่ได้อยู่ไกลกันมาก ถ้าคุณไม่ได้มีเวลาเยอะมาก แนะนำว่าให้อยู่ที่เดียวไปเลยดีกว่าแล้วขับรถเที่ยวเอา สำหรับเรา เราใช้เวลาบนเกาะทั้งหมด 6 วัน 5 คืน เลือกพักที่ airbnb เป็นแบบ 2 ห้องนอน อยู่ในตัวเมือง Tórshavn เลย ซึ่งภายในบ้านก็มีทั้งครัว ห้องนั่งเล่น และก็มีพื้นที่รอบๆ บ้านให้ออกไปชิว ข้อดีของการอยู่ในเมืองก็คือ มีทั้ง supermarket และห้างอยู่ใกล้บ้าน ขาดเหลืออะไรก็จัดหาได้สะดวก แต่ถ้าใครมีเวลาเยอะ อยู่ชิวๆ หลายวัน เปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ ก็ดีเหมือนกันนะคะ วันๆ จะได้ไม่ต้องขับรถไกลและผ่านทางเดิมๆ
SIM CARD
Sim2fly ใช้ที่ Faroe Islands ไม่ได้นะคะ ต้องไปซื้อซิมที่นู่นใช้ ซึ่งสัญญาณดีมากเว่อ ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงอุโมงค์ใดๆ เกือบจะได้ LTE ตลอดเวลา เครือข่ายที่เราเลือกคือ Faroe tel โดยชื่อเป็น package prepaid SIM card with 2GB data plan ราคา 98 DKK โดยหาซื้อซิมได้ที่สนามบินหรือ Faroe tel outlet ส่วนเราฝากให้ Host ที่พัก Airbnb ของเราซื้อให้เพราะ วันที่เราถึงเป็นวันอาทิตย์ซึ่
DIETARY
อาหารการกินบนเกาะของเราทำกิ
- Erika Sushi
- Barbara Fishhouse
- KOKS – a Michellin starred restaurant
ส่วนใครเป็นสายทำกินเอง เน้นฮาและ activity ในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง แนะนำเช่าบ้านที่มีครัว ทำกินเอง ฟินกว่าเยอะ โดยเราเตรียมเครื่องปรุงพวกน้ำ
สำหรับอาหารกลางวัน โดยส่วนใหญ่เราจะเตรียมอาหารไปกินระหว่างทางค่ะ เป็นของทานง่ายๆ แต่ถูกปากเช่น หมูแดดเดียว ข้าว ผักผลไม้ ขนมขบเคี้ยวต่างๆ รวมถึงมาม่าด้วย เวลาเดินขึ้นเขาไปก็กินไป หิวเมื่อไหร่ก็ควักออกมาทานได้เลย
สำหรับ supermarket บนเกาะมี 3 ยี่ห้อขนาดกลางๆ คือ Bonus, FK, และ Á ส่วนมากจะขายพวกเนื้อสัตว์แช่
OUTFITS
หลายๆ คนอาจเคยได้ยินว่า อากาศที่นี่ไม่แน่นอน เด๋วแดดออก เด๋วฝนตก เด๋วลมพัด เด๋วหิมะตก ถ้าคุณไม่ชอบอากาศนี้ ให้รอ 5 นาที แล้วมันจะเปลี่ยนไปเอง ไรงิ ซึ่งก็โคตรจริง เพราะฉะนั้น วันไหนคุณเห็นฟ้ามันขมุกขมัว ก็ไม่ต้องกังวล แต่งตัวเตรียมออกเที่ยวได้เลย เพราะเด๋วอากาศมันดีเอง
ทีนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการแต่งกายของเราบ้าง ช่วงเวลาที่เราไปคือ สงกรานต์บ้านเรา นับเป็นฤดูหนาวต่อใบไม้ผลิ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 3-6 องศา แต่เนื่องด้วยอากาศที่มัน unpredictable เราจึงเลือกใช้เสื้อผ้าแนว Hiking ซึ่งจะเป็นผ้าที่กันน้ำ กันลม ระบายเหงื่อดี และที่สำคัญเก็บความอุ่นได้ด้วย ส่วนรองเท้า อันนี้สำคัญมาก (ก.ไก่ ล้านตัว) เพราะ activity บนเกาะส่วนมากจะเป็น hiking และพื้นที่ที่เรา hike ก็ไม่ได้เป็นบันไดคอนกรีตเดินง่ายๆ นะ หากแต่เป็นพื้นหญ้า ทั้งแห้งๆ และเปียกๆ บางที่เป็นโคลนๆ หรือแม้กระทั่งต้องข้ามธารน้ำเล็กๆ แถมเดินๆ ไป เด๋วหมอกก้อลง เด๋วฝนก็ตก เด๋วแดดก็ออก ดังนั้นให้เพื่อนๆ เลือกรองเท้าเดินป่าดีๆ ไปเลยนะคะ มันจะ save เท้าแล้วข้อเท้าของคุณ รวมถึงไม่ทำให้เท้าคุณเปียกหรือแฉะในกรณีที่คุณไปย่ำบนพื้นหญ้าที่เจิ่งนอง (ซึ่งบางทีดูไม่ออก ย่ำไปแล้วค่อยรู้)
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนเดินป่าขาอ่อนอย่างเราคือ walking poles ซึ่งมันจะช่วยคุณพยุงตัว โดยเฉพาะช่วงขาลงเขา ทำให้คุณไม่เจ็บเข่าเวลากลับมานอนตายที่บ้านนั่นเอง สำหรับเรา เราใช้บ้างไม่ใช้บ้าง เพราะต้องถือกล้องถ่ายตลอดเวลา จึงไม่สะดวกถือ pole ไปด้วย แต่คุณชายนี่ใช้ตลอดเวลา นางบอกดีมาก เวลาลื่นล้มก็มีเครื่องค้ำยัน หน้าไม่ทิ่งไปกะก้อนหินหรือโคลนข้างหน้า
นอกจากนั้นก็มีหมวก ซึ่งค่อนข้างสำคัญ บางทีแดดออกแรง บางทีลมพัดแรง หูชาเหมือนกัน ของเราใช้แบบหมวกแบบมีที่ปิดหูไปเลยในตัว อุ่นทั้งหัวและหู สะดวกดี
โดยรวม Faroe Islands เป็นสถานที่เที่ยวที่ติดอันดับท้อปๆ ในใจเราเลย แม้ว่า Iceland ยังคงเป็นที่ 1 ในใจ แต่ที่นี่น่าจะเป็นที่ 2 ได้ เพราะเราชอบ landscape ของที่นี่มากๆ รวมถึงมันยังเป็นที่ที่บริสุทธิ๋ในแง่ของการคงความเป็นธรรมชาติ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่รบกวนและขัดแย้งกับสิ่งที่ธรรมขาติสร้างไว้ ผู้คนก็น้อย อากาศก็แสนจะบริสุทธิ์ ใครหลงไหลในธรรมชาติแบบเรา ที่นี่ก็อาจจะเข้าไปสถิตย์อยู่ในใจคุณเมื่อได้มาเยือนก็เป็นได้นะคะ
สะใภ้จีนที่รักการท่องเที่ยวและการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าไม่ได้ทำงาน ซึ่งจริงๆแล้ว “ผิดถนัดค่ะ” ยังทำงานประจำอยู่นะคะ เป็นสาววิศวะไอที มีการงานทำค่ะ ประเทศที่ไปแล้วชอบมากเป็นอันดับหนึ่งคือ Iceland ส่วนประเทศที่ไปแล้วไปอีกเพราะสนุกดีคือ อินเดีย ประเทศที่ยังไม่ได้ไปแต่อยากไปมว๊ากกก คือ เคนย่า (หาเพื่อนไปยากมาก T.T) ใครเป็นสายท่องเที่ยว เชิญมาเมาท์มอยหอยสังข์กันได้นะคะ เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่จริงใจค่ะ 🙂 กริรกริ