ความเดิมจากตอนที่แล้ว เราพักค้างกันที่ Riley Creek Campground เช้าวันต่อมา เรามีโปรแกรมที่จะเข้าไปเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ Denali โดยที่เราจองทัวร์ของอุทยาน Denali national park all day tour ไว้ตอน 7:30 สถานที่นัดเจอคือที่ Denali Bus Depot ซึ่งเราก็ไปถึงก่อนเวลานัดจริงเล็กน้อย จุดๆ นี้เป็นจุดรับส่งของรถบัส (Green bus) ที่อุทยาน Denali จัดเตรียมไว้ให้
อุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์ Denali ตั้งอยู่ในใจกลางของรัฐอลาสก้า กินเนื้อที่ 6 ล้านเอเคอร์ มีภูมิประเทศหลากหลาย ตั้งแต่ Taiga หรือป่าเขตหนาวที่มีแต่ต้นสน จนถึงแบบ Tudra ที่ไม่มีต้นไม้เลย ไปจนถึงยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี อ๊ะ นี่มันวิชาวิทยาศาสตร์หรือโลกของเรากันแน่ฟระ … ข้อมูลเหล่านี้ Park Ranger ได้เกริ่นนำให้เราได้ทราบ เป็นการปูพื้นฐานความรู้ก่อนเข้าไปยังตัวอุทยานแห่งชาติ อันเลื่องชื่อของอเมริกากันค่ะ
Getting Around Denali
การท่องเที่ยวใน Denali National Park ไม่เหมือนกับการเที่ยว National Park อื่นๆ ในอเมริกานะคะ ที่ส่วนใหญ่ เราจะสามารถขับรถเข้าไปเที่ยวตามจุดต่างๆ ได้เอง เห็นพื้นที่อุทยานใหญ่ขนาดนี้! อิหยั่งหว่า…มีเพียงถนนเส้นเดียว และมันก็ยาวถึง 92 mile แถมมีทางเข้าออกเดียว ที่แปลกคือ ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือบุคคลภายนอกขับรถเข้ามาเอง (Restrict ถึงแค่ mile ที่ 15) ว๊อท? จะมีก็แต่รถของอุทยานเอง หรือ professional photographer ที่มีใบอนุญาต จึงจะมีสิทธิ์ขับรถบนถนนสายนี้ และจะเปิดแค่เฉพาะช่วง summer (mid May to Mid Sep) เท่านั้น ไปเปิด google ดู อ๋อออ เหตุผลหลักๆ ของการ restrict ไม่ให้รถจำนวนมากผ่านเข้าไป ก็เพราะถนนภายอุทยานถูกสร้างบนพื้นดินที่เรียกว่า premafrost ซึ่งคือ พื้นดินที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งยากในการบำรุงรักษา หน้าหนาวถนนพัง พอเข้าหน้าร้อนก้อต้องทำถนนใหม่อีก ดังนั้นการทิ้งถนนไว้เป็นถนนลูกรัง ก็ทำให้ค่าบำรุงรักษาถูกลง แต่ก็ยังต้องใช้ปริมาณงานพอสมควร ยิ่งเพิ่มยานพาหนะส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยวเข้าอีก ก็คงต้องซ่อมถนนกันตลอดเวลาเป็นแน่
ดังนั้น อุทยานจึงมีบริการรถนำเที่ยวและรถบัสรับส่งไปยังจุดสำคัญต่างๆ ในอุทยาน ดูมีเหตุผลให้มาเก็บตังค์จากพวกเราไงคะ 5555 โดยรถที่ีให้บริการจะมีอยู่ 2 แบบคือ
- Bus Tours : เป็นรถบัสสีแทน มีไกด์ทัวร์ขึ้นไปบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิทัศน์ ตลอดการเดินทางในอุทยาน มีการเปิด DVD ให้ชมไรงิ
- Transit Tours : เป็นรถโรงเรียนสีเขียว ลักษณะเหมือนรถเมล์ คือหยุดเป็นพักๆ ตามป้ายรถ จุด hiking และ visitor center คุณสามารถขึ้นหรือลงรถ เมื่อไหร่ก็ได้ จากจุดไหนก็ได้ ถ้าไม่ mind ว่าอาจจะไม่ได้ขึ้นรถคันเดิม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอิสระ แค่ต้องระวังว่า อย่าพลาดรถคันสุดท้ายที่ออกจากอุทยานนะ อย่าลืมว่า ถนนเส้นนี้ยาวถึง 92 ไมล์ ไปกลับเกือบ 200 ไมล์จ้า ถ้ามัวแต่ไป hiking จนพลาดรถรอบสุดท้าย มีหวังค้างเติ่งอยู่ในป่า โดนหมีกินแหงม
สำหรับเรา เราเลือกแบบ Transit Tour โดยดูจากความนิยมของคนอื่นๆ 555 อาจเป็นเพราะมันถูกกว่ามากด้วยมั้ง โดยจะมีหลาย Route ให้เลืือก ซึ่งจริงๆ แล้ว แต่ละแบบ ต่างกันที่จุดไกลสุดที่รถจะไปถึง ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งแพง ส่วน route ที่เราเลือกคือ Wonder Lake โดยจะวิ่งบนถนนในอุทยานไป 85 ไมล์ แล้วแยกซ้ายเข้าไปยัง Wonder Lake ใช้เวลาโดยประมาณ ไป-กลับ 11 ชั่วโมง ไม่รวมเวลา hike
เราใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที ออกจาก campsite มาถึงที่ Bus depot ประมาณ 7 โมงเช้า เราเอา reservation ที่จองมาทาง internet ไปแสดงให้กับเจ้าหน้า เพื่อ print ticket ออกมา จุดๆ นี้ เราต้องใช้ตั๋วพร้อมกับ Denali National Park Pass เพื่อขึ้นรถบัสของอุทยานหรือที่เค้าเรียกกันว่า “รถเขียว” (Green Bus) โดย Denali National Park Entrance Pass นี้เราได้ทำการซื้อมาล่วงหน้ากับ K2 Aviation
Denali National Park Tour
- Wonder Lake Transit bus: $58.75 + Entrance pass $15
- Pickup Location: Denali bus depot
- Reservation: https://www.reservedenali.com/ แนะนำให้จองไปก่อนเพราะเต็มเร็วมาก
- Rating:
- Note: ภายใน national park ไม่มีร้านขายอาหาร คุณจะต้องเตรียมข้าวกล่องอาหารกลางวัน snack อะไรๆ ไปเอง สำหรับน้ำดื่ม เค้าจะมีเครื่องเติมน้ำเปล่า provide ไว้ให้ แต่คุณต้องเอาขวดน้ำไปเติมเองนะคะ
7:30 รถเขียวที่มีป้าย Wonder Lake ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราวันนี้ก็มา… เริ่มออกเดินทางกันเล้ย~~~
คำว่า “Denali” ปัจจุบันเป็นทั้งชื่อ national park และเป็นชื่อยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกา จริงๆ แล้วเมื่อก่อน เทือกเขาแห่งนี้มีหลายชื่อด้วยกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเรียก พวก Koyukon Athabaskan ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ไหล่เขา เรียกสถานที่แห่งนี้ว่า Deenaalee หรือ Dinale แปลว่า “the high one” อีกพวกที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำหรือที่เรียกว่าพวก Dene’in เรียกสถานที่แห่งนี้ว่า Dghelay Ka’a ซึ่งแปลว่า “the big moutain” ชาวรัสเซียซึ่งเมื่อก่อนเป็นเจ้าของรัฐอลาสก้าแห่งนี้เรียกสถานที่แห่งนี้ว่า Bolshaya Gora ซึ่งแปลว่า “the big moutain” เช่นกัน
จะเห็นว่า ต่างๆ คนก็ต่างเรียกกันคนละแบบมาจนกระทั่งปี 1917 รัฐบาลอเมริกาก็ออกมาประกาศชื่ออย่างเป็นทางการของยอดเขานี้ว่าเป็น Mt. Mckinley ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามประธานาธิบดีคนที่ 25 William McKinley และประกาศสถานที่แห่งนี้ให้เป็น Mt. Mckinley National Park
แม้ว่าโดยทางการแล้ว ชื่อยอดเขานี้จะถูกเปลี่ยนเป็น Mt. Mckinley แต่คนท้องถิ่นส่วนใหญ่ก็ยังคงจะเรียกมันว่า Deenaalee นอกจากนั้น ประธานาธิบดี McKinley ก็เป็นคนจาก Ohio ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถานที่แห่งนี้เลย จึงมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อยอดเขาและสถานที่แห่งนี้กลับมาเป็นชื่อท้องถิ่นดังเดิม จนกระทั่งไม่นานมานี้ ในปี 2015 สมัยประธานาธิบดี Barack Obama จึงมีการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการ จาก Mt. Mckinley เป็น Mt. Denali รวมถึงชื่อ Denali National Park ด้วย ตามชนเผ่า Koyukon Athabaskan ที่เป็นคนที่อาศัยจริงอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้…
ระหว่างที่เรานั่งรถไป ป้า Raciel คนขับรถโรงเรียนของเรา ท่าทางเหมือนอาจารย์ฝ่ายปกครอง ก็อธิบายวิธีการสื่อสารขั้นพื้นฐานให้เราฟัง ในกรณีที่ถ้านางหรือใครเห็นสัตว์ป่า ก็จะใช้วิธี clock position ในการบอกทิศทางว่า สัตว์เราเห็นอยู่ทิศทางไหนของเรา เช่น ถ้าบอก 6 นาฬิกา แปลว่า มันอยู่ข้างหลัง ถ้าบอก 9 นาฬิกา แปลว่ามันอยู่ซ้ายมือของเรา อะไรประมาณนี้ ขับไปไม่นาน นางก็ชีให้เราดูนกประเภทนึงที่ออกมาหาอาหารข้างทางเลย มันคือ Willow Ptarmigan นกที่เป็นสัญลักษณ์ของ Alaska state นั่นเอง
ดูเหมือนว่า วันนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจกับเราเลยแฮะ มืดครึ้มมาแต่ไกล ป้า Raciel เล่าให้ฟังว่า โอกาสที่คุณจะเห็น Mt. Denali มีเพียงแค่ 30% โดยเฉลี่ยเท่านั้น?!? ด้วยความที่ Mt. Denali มันใหญ่มาก มันจึงมี weather system เป็นของตัวเอง นอกจากนั้น เทือกเขา Denali มันเป็นจุดที่อากาศเย็นจาก Arctic มาปะทะกับอากาศร้อนจากทางใต้พอดี จึงทำให้มันมักจะมีเมฆต่ำ ปกคลุมเกือบจะตลอดเวลา นี่เป็นสาเหตุให้คุณมีโอกาศน้อยมากที่จะเห็น Mt. Denali แบบที่ไม่มีเมฆปกคลุม นางเล่าอีกว่า โอกาสที่จะมองเห็นยอดเขา Denali จากภายใน national park เอง มีน้อยกว่าการมอง Mt. Denali จากที่ไกลๆ อย่าง Fairbank หรือ Anchorage ซะอีก
ขับไปไม่นาน ป้า Rachel ก็เริ่มชลอความเร็วรถลงและชีให้เราดูวิวเทือกเขาเบื้องหน้าที่มีแสงแดดส่องผ่านเมฆมากระทบกับภูเขา เห็นเป็นภูเขาหลากสี สวยงามมาก
Denali National Park เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ขึ้นเรื่อง wild life ส่วนมาก เวลามาที่นี่ก้อต้องหวังจะเห็น “The big five” ซึ่งประกอบไปด้วย Caribou, Moose, Dall Sheep, Wolves, และสุดท้ายคือ Grizzly Bear นับเป็น 5 species จาก 299 species ที่คุณสามารถเห็นได้จากที่นี่เท่านั้น ขับเข้ามาไม่นาน… เราก้อเจอกับตัวแรก
Rachel: “Guys, look at your 10 O’clock.”
หลังจากหยีตาแล้วหยีตาอีก มองลงไปที่กลางทุ่งที่อยู่ไกลหลายไมล์ โอ้วววว นั่นไง ตัวขาวๆ น้ำตาลๆ เป็นจุดๆ เคลื่อนที่ได้อยู่นั่น… ใช่แล้วค่ะ เราเจอ Grizzly bear สีน้ำตาลอ่อนแล้วทั่นผู้ชม
ขอบคุณคุณลุงกล้องเลนส์ข้าวหลามที่อุตส่าห์ให้รูปนี้เรามา เพราะเลนส์เรา ไปไม่ถึงจริงๆ ขอรับ 5555 Rachel เล่าให้ฟังว่า ปกติแล้ว Grizzly bear เป็นหมีอินดี้ รักสันโดด มักจะอาศัยอยู่ตามลำพังยกเว้นตัวเมียที่มีลูก สามารถพบได้ในพื้นที่ของอาหารที่อุดมสมบูรณ์ เช่นที่ที่มี berry หรือ salmon เป็นจำนวนมาก ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้ก็จะไป featuring กะตัวเมียนานได้ถึงสองอาทิตย์เลยทีเดียว
เรานั่งรถโรงเรียนมายาวๆ จนถึง caribou creek และเราก็เห็น caribou หลายตัวมานอนตากแดดใน creek ที่แทบจะไม่มีน้ำเลย สมชื่อจริงๆ
Moose vs Caribou
ใครสงสัยบ้างมั้ย ว่า Moose กับ Caribou ต่างกันยังไง? จริงๆ แล้วสัตว์ของประเภทนี้ เกิดมาจากตระกูลเดียวกันคือกวาง ข้อแตกต่างของ 2 ตัวนี้ดูง่ายๆ ที่เขาของมัน Moose จะมีเขาแผ่นออกมาเป็นผืน เหมือนขาเป็ด คลุมด้วยหนังที่เป็นขนๆ แบบกำมะหยี่ ชอบอยู่เป็นหมู่คณะ และออกหากินตอนกลางวัน ในขณะที่ Caribou จริงๆ ก็คือกวาง raindeer ที่เรารู้จักกันว่ามันเป็นสัตว์ลากเลื่อนของ Santa Claus นั่นแหละ แต่พอมันอยู่ที่ north america มันจะถูกเรียกว่า caribou แทน โดยเขาของมัน รูปร่างจะคล้ายขวานขนาดใหญ่ คลุมด้วยหนังที่เป็นขนๆ แบบกำมะหยี่เหมือนกัน แต่โดยมาก เขาของมันจะมีใหญ่กว่าขนาดตัวมันเองซะอีก
Mile ที่ 66 ป้า Rachel พาเรามาถึงที่ Eielson Visitor Center เป็นที่ที่รถเราจอดนานที่สุด เพื่อให้ทุกคนแวะเข้าห้องน้ำ ทานข้าวกลางวัน และเข้าชมพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ว่าแล้วเราก็ควักอาหารกลางวันที่เราเตรียมมาออกมาทานกันที่ bench ข้างนอก ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามท่ามกลางฝนตกพร่ำๆ เล็กน้อย 555 ใช่แล้วค่ะ มึดขนาดนี้ จะอะไรได้อีกนอกจากฝน… T.T เศร้าแพร็บ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถคันเดิมของป้า Rachel มุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายสุดท้ายของเราอีกเกือบ 20 ไมล์ อันเป็นจุดสิ้นสุดของรถโรงเรียนเรา Wonder lake นั่นเอง จริงๆ แล้ว พวกเราจะเดิน hiking กันซักหน่อยไปยังที่ที่เรียกว่า reflection pond คือดูจากรูปที่คนอื่นถ่ายมาแล้วแบบ เหยยยย สวยเว่อ ต้องไป แต่อย่างที่ทุกคนรู้กันคือ วันนี้ฝนปรอยๆ ตกๆ หยุดๆ ทั้งวัน เมฆก้อครึ้มขนาดนี้ ป้า rachel เราจึงดับฝันเราด้วยการบอกว่า วันนี้ไปยูก้อไม่ได้เห็น reflection หรอกนะ แต่จะไปเดินเขาเล่นๆ ก็ได้ไม่ว่า อ่าว…ง่ายๆ งี้เลยป้า แต่ดูทรงแล้ว เออ.. ไม่ไปก็ด๊ะ ขี้เกียจเดิน
สำหรับคนที่ชอบ hiking บอกเลยว่าที่ Denali เห็นใหญ่ๆ แบบนี้ มี hiking trail ไม่มากนัก และคนที่จะ hike ควรจะเป็น professional hiker เพราะเส้นทางเดินส่วนใหญ่จะเป็น off-hike ซะหมด นั่นแปลว่าคุณจะต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไป บางทีต้องทำทางเอง คุณจะต้องมีแผนที่ เข็มทิศ และที่สำคัญคือ คุณจะต้องอ่านมันเป็นด้วยนะ 555 แม่น้ำและลำธารก็ไม่ได้มีสะพานให้ข้าม ดังนั้นการแต่งตัวแบบเต็มยศจึงเป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างคือ คุณอาจจะไปป๊ะเข้ากับ grizzly bear ได้ทุกเมื่อ ทุกคนที่จะไปเดินป่าจึงต้องพก bear spray เข้าไปด้วย ดังนั้น พวกเราที่เป็นขาอ่อนในการเดินป่า (จริงๆ แล้วอย่าว่าแต่เดินป่าเลย เดินทางเรียบๆ ก็แทบจะไม่ไหวแร๊ะ) ขอนั่งรถกินลมชมวิวต่อไปดีกว่าค่าา
ถึงแล้ว Wonder lake~~~ ใช่หรอ? ใครช่วยบอกทีว่ามัน wonder ตรงไหนมิทราบ เอาอีกแล้ว ภาพไม่ตรงปก
อีหยั่งว๊ะเนี่ยะ ภูเขาหิมะ reflect ในน้ำ ตามภาพที่หวังอยู่ไส ไหงเมฆเยอะจังวันนี้ ลมก็แรง แล้ว reflection ที่เราหวังหล่ะ? หลังจากงงๆ กับ wonder lake อยู่ซักพัก (wonder why we are here?!?) เราก็ปลงได้ นั่งรถกลับบ้านไปทำกับข้าวกินดีกว่า…
สุดท้าย เราก็ไม่ได้เห็น dall sheep และ wolve จะมีก็แต่ฝูง caribou ออกมากันทั้งขโยง ทำเอาเราตื่นเต้นกันทั้งคันรถเลยทีเดียว
Rachel พาเรากลับมาที่ bus depot ประมาณ 6 โมงเย็น เป็นวันนึงที่นั่งรถยาวนานมากจริงๆ เราใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึง campsite ที่เดิมของเรา เย้! ได้เวลาอาหารเย็นแล้วจ้า
สำหรับทัวร์นั่งรถใน denali นี้ เราค่อนข้างเฉยๆ นะ สงสัยเพราะอากาศไม่ดีด้วยมั้ง อะไรๆ ก็เลยไม่เป็นไปตามที่หวัง แถมทัวร์มีระยะเวลาค่อนข้างนานเพราะถนนข้างในยาวไกลมาก เราเลยค่อนข้างเหนื่อยกับการนั่งรถซะมากกว่า
คืนนี้เรายังคงอยู่ที่ Riley Creek Campground กันอีกหนึ่งคืน ก่อนที่พรุ่งนี้ เราจะอำลาจาก Denali National Park เพื่อลงใต้กันค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
สะใภ้จีนที่รักการท่องเที่ยวและการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดว่าไม่ได้ทำงาน ซึ่งจริงๆแล้ว “ผิดถนัดค่ะ” ยังทำงานประจำอยู่นะคะ เป็นสาววิศวะไอที มีการงานทำค่ะ ประเทศที่ไปแล้วชอบมากเป็นอันดับหนึ่งคือ Iceland ส่วนประเทศที่ไปแล้วไปอีกเพราะสนุกดีคือ อินเดีย ประเทศที่ยังไม่ได้ไปแต่อยากไปมว๊ากกก คือ เคนย่า (หาเพื่อนไปยากมาก T.T) ใครเป็นสายท่องเที่ยว เชิญมาเมาท์มอยหอยสังข์กันได้นะคะ เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่จริงใจค่ะ 🙂 กริรกริ